24 ก.พ. เวลา 17:47 • ความคิดเห็น
ในครั้งต้นพุทธกาล จิตที่ท่านติดตามมาจากชั้นดุสิต สะสมบุญบารมี มามาก ท่านเกิดมาก็มีบุญ เกิดในฐานะเจ้าชาย เศรษฐี มากมาย ที่บุญกุศลมารองรับ มีทรัพย์สินเงินทอง แต่กายเกิดมาเป็นชาติสุดท้าย เพื่อสละทุกอย่าง ออกไป ความโลภโกรธหลง ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต สละอารมณ์ต่างๆ ที่พายไปสร้างกรรม
ท่านต่างก็ต้องจุติมาอาศัยกายมนุษย์ เพื่อที่จะฟังธรรม ..ธรรมจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านมีพระสัพพัญญญาณ มีแสงของรัตน ะ ที่ส่องแรงกล้าเหมือนพระอาทิตย์ พระสุรเสียงของท่าน สามารถเข้าไปสะกิดจิตของผู้ที่ สะสมบุญบารมีมาเต็มที่ ไปสะกิดจิต..ให้สละความยึดถือออกไปให้หมด แล้วก็ไปชำระสะสาง ในสิ่งที่ติดค้างอยู่กับธาตุทั้งสี่ ต้องไปคนเดียว เดินเข้าป่าชุดเดียว ไปชำระสะสาง เรื่องต่างๆ ในท่ามกลางดินฟ้าอากาศ
มีพระท่านเล่าเรื่องราวของ วัสสดีมาร ..พระท่านถามวัสสดีมาร ว่า อย่าไปขัดขวางมนุษย์ไม่ให้ สร้างบุญกุศลบารมีอหนีกรรมได้มั้ย ท่านวัสสดรมาร บอกว่า สมองของมนุษย์ยุคนี้ม มันอบากที่จะเข้าถึงธรรม แล้วก็ว่า จะไม่ให้ข้าพเจ้าขัดขวาง นั้นง่ายนิดเดียว ก็อย่าไปนึกถึงเค้า .เหมื่อนไปนึกถึงเค้่า เค้าบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นสาฬะยะ ..เมื่อนึกถึง ข้าพเจ้าก็มีหน้าที่ ..ต้องรับใช้เค้า เหมือนเรานึกคิดเรื่องนั่นเรื่องนี้ โกรธคนนี้ เมื่อนึกถึงอารมณ์ ข้าพเจ้าก็มารับใช้ส่งเสริมให้
ในยุคกึ่งพุทธกาล จิตที่มาเกิดนั้น ..มาจากดินแดนที่ทุกข์ทรมาน โหดร้ายทารุณ จิตของเค้าไม่ได้สะสมสิ่งที่ดีงามภายในจิต เค้าก็มา ก็มีสติปัญญาใช้ไปหาปัจจัย มาหล่อเลี้ยงแค่กาย ให้กายสุขสบาย สบายอารมณ์ทกรรมที่ปรนเปรอจิตทให้หลงใหลในปัจัยสี่ กรรมดีกรรมชั่วไม่รู้จัก ใช้กายไปตามอารมณ์ที่ต้องการสร้างกรรมคล้องเวรกรรม
เรื่องที่จะนำพาจิตให้พ้นกรรมพ้นทุกข์ เค้าย่อมไม่สนใจเรียนรู้ ..เค้าย่อมเสาะแสวงหาหาเพียงแค่กินนอนอยู่กับกรรม .แล้วก็จากลวสังขาร เอาแต่กรรมติดตามไป ..ไปตามเส้นทางทุกข์นรกเปรตสัตว์อสุรกาย .ที่จะไปเห็นเทพยดาอินทร์พรหม ก็หาได้น้อย ..ท่านว่า มีแต่ดวงจิตเดินไปหาทุกข์
โฆษณา