26 ก.พ. เวลา 02:00 • การเมือง
เมืองไทย นั่นมีของดี ของดีที่จะทำให้บุคคลนั้น มีกายวาจาใจที่ดี มีร่องรอยของศาสนาพุทธอยู่ ..ให้พบเห็นด้วยตา มีคนทำดีทำชั่ว ให้พบเห็น มีทั้งคนที่สนใจในคำสอนของพระ นำไปปฏิบัติ สร้างบุญกุศลบารมี
มีทั้งจริตที่ชอบติเตียนวิพากษ์วิจารณ์ ..ในสิ่งตาเห็นหูได้ยิน ..ก็เกิดอารมณ์นึกคิด ..บ้างคิดดี แต่เวลาทำ ทำไม่ดีพูดไม่ดี บ้างพูดจา ดูไม่ดี ..แต่ก็ทำดี ..บ้างคิดไม่ดี ทำไม่ดี .มันมีให้ดู .ยิ่งสื่อสมัยนี้ .เข้าถึงได้ง่าย ..เราก็อาศัยรากเหง้า ของพระศาสนา เอาตาหู มาดู อ่านอารมณ์นึกคิด ในกิริยาอารมณ์กรรมต่างๆที่เค้าแสดงให้ดู อ่านลึกๆทะลุ ให้ไปถึงนิสัยสันดาน ดีชั่ว .ให้เห็นในสิ่งที่ว่า อารมณ์กรรม ตัวกระทำที่เค้าแสดง..กรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันเป็นอย่างไร มันสุขหรือมันทุกข์กันแน่
มีทั้งคนที่เกิดมาไม่เคยเข้าวัดทำบุญทำทานก็มี มีทั้งคนที่ห้อยเหรียญพอะไรเต็มคอ เดินกระเซอะกระเซิง บ้างไร้บ้าน ก็ไปขอข้าวที่วัด มันมีอะไรมากมาย
บ้างก็ศึกษาธรรม เอาแต่อ่านตำรับตำรา ที่เค้าเขียน จดจำไว้คุยกันว่ารู้จักธรรม..แล้วก็ไม่มีการสร้างบุญกุศล ปฏิบัติธรรม ..ตามรอยองค์พระสิทธัตถะพระพุทธเจ้า..ถามว่า จิตนั้น ..รู้จักธรรม รู้จักกรรมได้มั้ย รู้จักจิตตัวเองได้มั้ยที่เค้าว่า จิตบริสุทธิ์ สุทธืิ อสุทธิปัจจัตตัง อ่านจิตของตนเองออกมั้ย..ได้แต่อ่านไม่มีการประพฤติปฏิบัติธรรม ..แล้วจะไปรู้จักว่า บุญกุศลได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนามธรรม ต้องใช้จิตที่เป็นนามธรรม เรียนรู้ขึ้นมา
..ในคำว่า กรรม.. ที่เค้าว่าอยู่กรรม ก็ไม่รู้จักจักกรรม อยู่กับอารมณ์ก็ไม่รู้จักอารมณ์นึดคิดของตัวเอง ไม่เคยคิดสำรวจตรวจสิบอารมณ์นึกคิดในกายตน .ต้องเป็นทาสของอารมณ์ นึกคิดที่ครอบงำจิต ..ให้หลงใหล เห็นว่าตัวเองดีแล้ว .ที่แท้ก็เชื่ออารมณ์กรรมในกายตน.เป็นเหมือนผีที่มองไม่เห็นสิงสถิตอยู่ที่เรือนกาย เมื่อมองไม่เห็นผีในกาย มันจึงมีกิริยา กายวาจาใจเป็นไปตามผี..เรื่องราวเหล่านี้ มันเกิดขึ้นในจิตแต่ละดวง ..ในสิ่งที่เค้าว่า สะสมมาแต่อดีต ที่ลึกลงไปในคำว่า สันดาน สันดานสัตว์ สันดานมนุษย์
ในคำว่า อดีตที่สะสมกรรมมา เมื่อศึกษาปฏิบัติธรรมไป ก็จะค่อยๆเรียนรู้จักในสิ่งว่า เวียนว่ายตายเกิด จิตที่มาเกิดในโลกมนุษย์ ก็มาจากสถานที่แตกต่างกัน เหมือนที่เค้าส่งเสริมการท่องเที่ยว ..บ้างมาจากนรกเปรตอสุรกาย .อบายภูมิ .ก็มากมาย ที่มาจากอบายภูมิ เค้าย่อมไม่สนใจเรื่องราวของคำว่า ศาสนา คล้ายหมาแมว ที่อยู่ในวัด มันจะรู้จักมั้ยว่า นี้ รูปพระปฏิมากร ที่เค้าสร้างกัน กราบไหว้บูชา เค้าระลึกถึงใคร ที่ให้กำเนิด พระพุทธศาสนา
เรื่องราวศาสนา ที่มันต้องฝืนนิสัยเวรกรรมตัวเอง ต้องละ เค้าสอนให้ลดละ โลภโกรธหลง แต่จิตที่มาจากอบายภูมิ เค้าจมอยู่กับโลกีย์ เค้าก็ต้องเดินอยู่ในเรื่องราวของคำว่าโลกีย์ ..แล้วการเอาผ้าเหลืองมาครอง ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีจะครอง ต้องไปขอบวช ..กันในโบสถ์ ..พอออกจากโบสถ์ .ไปทำอะไร
..มันมีทั้งผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วก็มีผู้ที่ไม่สนใจประพฤติปฏิบัติธรรม บ้างก็เอาศาสนาของพระพุทธเจ้า ไปค้าขาย หากิน .เค้าว่า เยี่ยงอย่างใคร..ถึงทำแบบนั้น ..มีผู้พูดให้ฟังว่า เอาศาสนาของพระพุทธเจ้า ไปทำมาหากินเยี่ยงเดรัจฉาน จมอยู่กับโลกธรรม
เรื่องราวของศาสนา เป็นเรื่ิองของการสร้างบุญกุศลบารมี หนีกรรม หนีการเวียนว่ายตายเกิดที่ เกิดๆตายๆ..เมื่อไม่ปฏิบัติธรรม ..ในคำสอน ..แล้วจะรู้จักเรื่องราวเหล่านี้หรือ ..มันต้องทำให้ประจักษ์แก่จิตของตนเอง..แต่คนสมัยนี้ เค้าไม่เห็นประโยชน์ ..เค้ากลับว่างมงาย มันจึงมีเรื่องราวที่เค้าเรียกปัจจัตตัง ที่ผู้ที่ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ก็ค่อยๆรู้จักขึ้นมา .
เพราะเรื่องราวของศาสนา มันเป็นเรื่องของจิตใจ เรื่องราว ที่ว่า ศีลสมาธิปัญญา สะสมมาไม่เหมือนกันเลย ยิ่งเป็นเรื่องปัญญาธรรม ก็ยากที่จะเค้าถึงได้ ที่เกิดมาในแผ่นดินนี้ ที่มีพระคุณ ให้เราได้อาศัยกินนอน เราก็ได้รับสิ่งดีๆ ที่คนรุ่นก่อน สร้างไว้ ทำให้เราได้มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ในคำว่า พระพุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระศาสนา ท่านเพียงชี้ให้ แนะแนวทางให้ ..ชี้ให้ดู ว่าทุกข์ มันอยู่ที่ตรงไหนบ้าง กรรมที่ตนเองสร้างทุกข์ขึ้นมาเอง มันมาจากไหนบ้าง รู้จักในในสิ่งที่ปกปิด สติปัญญาของตัวเอง มองไม่เห็นทุกข์ เหมือนมีตามิงได้แต่ข้างนอก แต่ก็ไม่มีตามองมองข้างในกายในจิตของตัวเอง ไม่สามารถกแยกกาย อารมณ์ จิต ของตนเองได้เลย.มีหูก็เอาไว้ฟังเสียงโลกธรรม..จมอยู่กับโลกีย์ .ที่หลงใหล..มันจึงมีชีวิตไปตามอารมณ์ที่ปรุงแต่งให้ในเรือนกาย กินนอน .ไปกับอารมณ์แค่นั้น นั่นก็คือ จิตที่หลับใหล..หลับไม่ตื่นขึ้นมาดูอารมณ์ที่ปรุงแต่งกายได้เลย
โฆษณา