24 ก.ค. เวลา 15:43 • ท่องเที่ยว
อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

ครั้งแรกก็งี้แหละ

ท่ามกลางความมืดครึ้มจากเมฆฝน และน้ำที่เริ่มหยดเอื่อยๆ ลงมาจากท้องฟ้า พวกเรากำลังจัดสัมภาระที่จำเป็นยัดลงกระเป๋าเป้ และนำเอาสัมภาระส่วนที่เหลือขนไปเก็บไว้ในศาลา ของวัดห้วยเสือเฒ่า และปิดล็อคประตู เพื่อไม่ให้สัมภาระของพวกเราถูกขโมยจากผู้ไม่หวังดี
น่าจะเป็นครั้งที่ 4 หรือ ครั้งที่ 5 แล้วล่ะ ที่ผมได้เดินทางมาทำงานในจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผมขับรถมาเอง พร้อมกับลูกทีมอีก 5 นาย ด้วยรถกระบะอีซูซุคันเกือบเก่าของที่บ้าน ที่มันเองก็เพิ่งจะได้มาถึงแม่ฮ่องสอนเป็นครั้งแรก และได้มีประสบการณ์ในการเก็บ 2,224 โค้ง พร้อมกับคนที่ขับมันมา
พวกเราเดินทางออกจากอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เวลา 0830 น. มาเข้าเขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนเข้า ก็ล่วงไปบ่ายเกือบจะเย็น เพราะด้วยความไม่ชินเส้นทาง และแวะกันตลอดทางที่มีจุดพักรถ
โดยจุดมุ่งหมายแรกของเราก็คือบ้านห้วยเสือเฒ่า ตำบลผาบ่อง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังคือ หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว แต่เราไม่ได้จะมาเที่ยวกันนะ เพราะปลายทางของเราคือชายแดน ไทย - เมียนมา ที่อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพียงแค่ประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร
พวกเราแวะซื้อข้าวเหนียวและกับข้าวในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ก่อนที่จะเดินทางอีก 10 กว่ากิโลมเมตร เข้าสู่บ้านห้วยเสือเฒ่า เพราะคิดว่าก่อนที่เราจะออกเดินทางจากจุดหมายแรกไปยังจุดหมายสุดท้าย จะได้เติมพลังกันให้เต็มถังเสียก่อน
หลังจากนั้นเราจึงมุ่งหน้าเข้าหาแนวเทือกเขาทางด้านทิศตะวันตกของเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่บ้านห้วยเสือเฒ่าอันเป็นจุดหมายแรกของเรา
เราใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็เดินทางมาถึง แต่ด้วยสภาพเส้นทางจราจรในหมู่บ้านที่เป็นทางวันเวย์ ทำให้ผมต้องขับรถวนไป 2-3 รอบ กว่าจะหาทางเข้าวัดห้วยเสือเฒ่าได้
ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงวัด เราก็ได้ทำการจัดเตรียมสัมภาระเฉพาะที่จำเป็น เพื่อจะนำขึ้นไปยังจุดหมายสุดท้าย ตามคำแนะนำของหมู่หนุ่ย คนนำทางของเรา ซึ่งเป็นกำลังพลคนเก่า ที่ยังต้องอยู่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่อไปอีกปี เพื่อไกด์งานให้กับหัวหน้าชุดและกำลังพลที่ถูกสับเปลี่ยนขึ้นมาใหม่ทั้งทีม
ในขณะที่เรากำลังจัดเก็บสัมภาระที่เหลือไว้ในศาลาวัดห้วยเสือเฒ่า ซึ่งได้ขอความอนุเคราะห์ท่านเจ้าอาวาส ซึ่งทั้งวัดมีท่านอยู่รูปเดียว ขอใช้ศาลาเป็นฐานปฏิบัติการส่วนหลัง เก็บสัมภาระที่เหลือ ก่อนที่จะทะยอยขนไปคราวหลังเมื่อมีโอกาส หูของผมก็พลันได้ยินเสียงรถบรรทุุกขนาดใหญ่กำลังขับผ่านพวกเราไป พอหันไปมอง ก็พบว่าเป็นรถบรรทุกทหาร ที่กำลังขนทหารชุดใหม่ เข้าฐานปฏิบัติการเช่นเดียวกันกับพวกเรา พลันได้แต่คิดในใจว่า "พวกหน่วยป้องกันประเทศนี่ ได้รับการสนับสนุนเยอะดีจัง มีรถยนต์ขับพาขึ้นฐานด้วย"
กว่าจะจัดและเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ล่วงไปประมาณ 1630 น. หมู่หนุ่ยแนะนำว่าให้ไปกินข้าวกันข้างบนฐานดีกว่า เพราะเดี๋ยวระหว่างทางที่เราเดินทางขึ้นไปจะเกิดอาการอิ่มจนทำให้อึดอัดและทำอะไรลำบาก ผมตอบตกลงตามนั้น สวนทางกับความสงสัยในใจว่า คงจะเป็นคำพูดที่เกินจริงไปหน่อย
เราเคลื่อนย้ายออกจากวัดห้วยเสือเฒ่า ท่ามกลางหยาดฝนที่หล่นปรอยๆ ลงมา ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ 4 คัน กับคนอีก 6 คน พร้อมสัมภาระที่มีเพียงที่นอนและเสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยน รวมถึงอาวุธปืนที่เราต้องใช้ทำภารกิจของเรา
ตอนที่ผมได้รู้ข่าวว่าจะได้มาปฏิบัติงานที่แม่ฮ่องสอน ผมได้ติดต่อกับหมู่หนุ่ยล่วงหน้า เพื่อทำการบ้านเกี่ยวกับภารกิจ และพื้นที่ปฏิบัติงานเรียบร้อยมาก่อนแล้ว ซึ่ง หมู่หนุ่ยก็ไซโคผมมาแบบยับๆ ว่าไฟฟ้าไม่มี สัญญาณมือถือไม่มี ถนนเป็นดิน ถ้าช่วงหน้าฝนอาจจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเดินทางจากข้างล่างถึงฐานได้ แต่เมื่อผมเริ่มขับรถพ้นออกจากตัวหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า ก็ได้แต่คิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า.... ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า
เราขับรถต่อไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า และเมื่อออกจากหมู่บ้าน สิ่งแรกที่เราได้พบคือถนนคอนกรีตที่พาเราขึ้นสู่ภูเขาที่ตั้งชันมากกว่า 45 องศา ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ เพราะอยู่ใต้สายฝนมาตลอดเดือนแถมแดดส่องไม่ถึง ผมต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ wave 100s คู่ใจ อายุกว่า 10 ปี ด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ได้มาเจอเส้นทางแบบนี้ แต่ในใจก็ยังคิดอยู่ดีว่า.... "ไม่เท่าไหร่"
และเมื่อขับรถพ้นจากหมู่บ้านได้ประมาณ กิโลเมตรเศษๆ เราก็สิ้นสุดทางปูน เข้าสู้ทางดินแบบเต็มรูปแบบ หรือที่ภาษาทหารเราเรียกว่า "เส้นทางตามภูมิประเทศ"
หมู่หนุ่ยซึ่งเจนจัดในเส้นทาง และมีประสบการณ์ในการขับขี่บนเส้นทางตามภูมิประเทศ แถมยังใช้รถวิบาก ก็ได้ขับรถประคองพวกเราและแนะนำการขับขี่ให้พวกเราตลอดเส้นทาง
ด้วยฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเส้นทางที่ผ่านการใช้งานจากรถบรรทุก ที่ให้เกิดเป็นร่องน้ำตลอดแนวถนน และในบางจุดก็เละเทะจากน้ำหนักกดทับของรถบรรทุก ตลอดเส้นทางจึงลื่นอย่างมาก ทำให้รถที่ซ้อนกันมาต้องปล่อยกำลังพลลงให้เดินเท้า พร้อมกับแบกสัมภาระไปด้วย
พลทหาร หยก ผู้ไม่ถูกชะตากับรถมอเตอร์ไซค์
เราใช้เวลาไม่นานจากสุดถนนปูน ไปจนถึงทางขึ้นเขาลูกที่สอง ที่เราเรียกกันว่าเนินรับน้อง เราจอดพักรถและตรวจเช็ครถกันใหม่ เพราะเราเติมลมยางกันมาแบบแข็งปั๋ง จำเป็นต้องปล่อยลมออก เพื่อให้หน้ายางสัมผัสผิวถนนได้มากขึ้น พลันหู ก็ได้ยินเสียงรถบรรทุกที่กำลังเร่งเครื่องอย่างหนัก เหมือนว่ากำลังติดหล่ม อยู่ห่างจากเราขึ้นไปทางเนินรับน้องไม่ไกล
หมู่หนุ่ย ซึ่งชำนาญเส้นทาง และขับรถที่ดีกว่าพวกเรา จึงอาสาขึ้นไปดู ว่าเกิดอะไรขึ้น และปล่อยให้พวกเราต้องตากฝนและยุง รออยู่ตรงทางขึ้นเนินรับน้องกว่าครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ฟ้ากำลังค่อยๆ มืดลงทุกที
หิวก็หิว... เปียกก็เปียก
พลทหาร เจ/พลทหาร หาญ/ผม และจ่าโอ เรียงกันไป
โฆษณา