2 มี.ค. เวลา 08:32 • ปรัชญา
เพราะเรามีกาย จิตมาอาศัยในเรือนกาย การรับรู้ต่างๆ วิญญาณทั้งหก ..ตั้งแต่แรกเกิด ก็เริ่มมีการพัฒนา ..บางคนหูหนวดตาบอดมาแต่กำเนิด วิญญาณส่วนนี้เหมือนถูกปิดไป ..ไม่ให้รับรู้ ไม่ให้เห็น ไม่ให่ได้ยิน มาแต่กำเนิด ..วิญญาณทั่งหกนั้นมีมีกายพัฒนา ให้ใช้งานได้ดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่ผู้ที่อาศัยเรือนกายนั้นจะใช้งานอย่างไร ในชีวิตปกติ
..เมื่อเราไม่ไปดื่มของมึนเมา วิญญาณทั้งหกก็ทำงานปกติ เมื่อเราไปดื่มของมึนเมาเจ้า วิญญาณตาหูมันก็ผิดปกติ มีการรับรู้ที่ผิดปกติ ..เข้ามา ..สิ่งนี้ก็ส่งต่อไปให้จิต ..เชื่อถือในมายาของอารมณ์ที่ปรุงแต่งขึ้นมา ด้วยอารมณ์มึนเมา ..จิตก็มึนเมาไปกับกายและอารมณ์ที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ เรื่องราวของวิญญาณทั้งหกที่ ที่ส่งอารมณ์ ไปธาตุทั้งสี่ในเรือนกาย กายพ่อแม่ที่อาศัยก็มึนเมา การรับรู้อะไรต่างเมา อารมณ์นึดคิดเมา ..จ้ตอาศัยในเรือนกายก็ต้องเมาไปตามอารมณ์
คราวนี้ เราค่อยๆ จับเอาเรื่องวิญญาณตา มาดูมาสังเกต แต่ว่าเราต้องทำจิต ที่จะอาศัยเพียนงเรือนกายนี้ให้เป็น นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เราต้องฝึกหัดให้กายนั่นนิ่ง ให้จิตนิ่งได้จริง แล้วจิตก็จะค่อยๆรับจัก ..ในเรื่องเราที่เป็นมายาที่มาจากวิญญาณทั้งหกได้ชัดเจนขึ้น
..แต่ทั้งนี้มันต้องค่อยฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป .เราถึงจะได้เรียนรู้จัก เรื่องของวืญญาณทั่งหกได้ ..ที่อารมณ์โลภโกรธหลง เหมือนวิ่งเป็นเหมือนวงกลมอยู่กับวิญญาณทั้งหก ..เรื่องนี้ก็จะไปพัวพันในคำว่าขันตทั่งห้า ที่ปรุงแต่งด้วยอารมณ์เกิดเป็นสังขารกรรม ตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้ เมื่อเรามีการประพฤติปฏิบัติธรรม ลดละอารมณ์ไปได้มาก ในคำว่า สร้างบุญกุศลบารมี จิตเรามีการขยับขยายโตขึ้น เราก็จะได้เรียนรู้จักเรืองอารมณ์กับวิญญาณทั้งหกชัดเจนขึ้น ..ว่ามายาของอารมณ์นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงทำได้จิตมัวเมาได้ ทำไมถึงมีอุปทาน เนื่องด้วยอารมณ์ หากเรายังทำให้กายนิ่งไม่ได้ จิตนิ่งไม่ได้ เราก็ไม่มีทางเข้าใจ ในเรื่องนี้ได้เลย เพราะมันเหมือนเป็นเรื่องวิญญาณทั้งหก ที่พัวพันไปถึงคำว่า อภิญญาหก ..นี่ก็ฟังเค้าเล่ามา เป็นเรื่องจิตเหนือวิญญาณเหนืออารมณ์
โฆษณา