3 มี.ค. เวลา 10:34 • ศิลปะ & ออกแบบ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

Coyote City สังคมสมัยใหม่ที่สร้างโดยผู้ดีเพื่อคนป่าเถื่อน

วัฒนธรรมและความเชื่อของคุณถูกเปลี่ยน ภูมิปัญญาที่คุณเรียนรู้แทนที่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘สมัยใหม่’ แต่กลุ่มคนที่ชักนำคุณสู่ขนบธรรมเนียมรูปแบบใหม่กลับทอดทิ้งคุณให้ค้นหาความเป็นตัวเองในรูปแบบนั้นเพียงลำพัง บทละคร Coyote city เป็นเรื่องราวของกลุ่มชนพื้นเมืองอินเดียนแดงหลังจากกลุ่มคนขาวเข้ามาสร้างบรรทัดฐานใหม่ในแผ่นดินพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเดียวดายราวกับหมาโคโยตี้ กำลังขนขวายอิสระในเมืองเล็กบนความปลอดภัยเดียวของพวกเขาแต่แท้จริงกลับอันตรายและป่าเถื่อนจากคนที่เป็นเชื้อชาติเดียวกันเสียเอง
ละครเวทีเรื่องนี้ได้รับการสร้างสรรค์ผ่านมุมมองความคิดของคนรุ่นใหม่ ทั้งการแสดง แสง เสียง เสื้อผ้าและฉาก โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในเทศกาล BU Playfest 2024 จัดแสดงขึ้นในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2567 ที่โรงละคร Black Box มหาวิทยาลัยกรุงเทพจะมี
สัญลักษณ์ที่บอกคุณว่ามาถึงโรงละครแล้วเป็นเต็นท์เล็ก ๆ สีขาวและกองฟืนที่วางข้างกันคอยประดับประตูทางเข้าไปจนถึงทางเดินภายใน สร้างมวลบรรยากาศของเรื่องเล่าหรือนิทานของชาวเดียนแดงให้กับคนดู ก่อนที่เส้นทางจะไปบรรจบกับที่นั่งของผู้ชม เมื่อสิ้นเสียงประกาศเตือนการห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกและการถ่ายภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต การแสดงจึงเริ่มขึ้น
คนเถื่อนที่พยายามเข้ากับเมืองยุคใหม่ถูกมองด้วยสายตาที่แปลกแยกจากคนพวกเดียวกันปรากฎให้เห็นตั้งแต่องค์แรก การแสดงเริ่มด้วยบทพูดของตัวละครชายที่ทำให้เรางุนงงว่าเขาพูดทำไม ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าเขากำลังพูดคนเดียวแต่ไม่มีใครที่คอยรับฟัง จนกระทั่งเราเห็นว่าเขาเสมือนกำลังสนทนาโต้ตอบผ่าน monologue
ถึงแม้ในตอนแรกเรายังไม่คุ้นชินกับกลวิธีนี้แต่แล้วไม่นานนักมันก็กลืนไปกับสถานการณ์ เรารับรู้ว่าเขาคือชนอินเดียนแดงจากบทพูดของเขา เขาพยายามที่จะขอเบียร์สักแก้วจากคนในบาร์นั้นแต่กลับไม่มีใครสนใจเขาเลยถึงแม้ชายคนนี้จะใช้วิธีการต่าง ๆ ทั้งเงิน ผู้หญิงหรือเรื่องเล่าที่เป็นเสน่ห์ของคนอินเดียนแดงแล้วก็ตาม
เมื่อชายคนนี้ยกหูโทรศัพท์ ไฟจึงสว่างขึ้นที่หญิงสาวซึ่งเป็นคนรับสาย จอนนี่และลีน่าคือชื่อของคู่รักชายหญิงสองคนนี้ พวกเขากำลังจะไปเจอกันที่บาร์แห่งหนึ่งในเมือง ไม่นานนักมาธ่าแม่ของลีน่า และบูน้องสาวของลีน่าทำให้เรารู้ว่าจอนนี่ได้ตายไปแล้ว สิ่งที่ลีน่ารับรู้คืออาการป่วยอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจไปมากกว่าคือคำพูดของมาธ่า
“ฉันดีใจมากที่รู้ข่าวว่าเด็กนั้นตาย” เธอพูดถึงจอนนี่ เธอไม่ต้องการให้เขามาเป็นส่วนยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวเพียงเพราะจอนนี่มาจากฝั่งตะวันตกซึ่งเธอได้ยินมาว่าทางฝั่งนั้นชาวอินเดียนแดงยังป่าเถื่อนกันอยู่เลย ช่างเป็นเรื่องน่าสลดที่คน ๆ หนึ่งตัดสินคนอีกคนและยังรู้สึกยินดีต่อโศกนาฏกรรมของคนนั้นได้ขนาดนี้ ถึงจะมีรากเหงาจากที่เดียวกันก็ตาม เพียงแต่ตนได้ซึมซับความสมัยใหม่ของคนนอกเผ่า(คนขาว)มาแล้วจึงไม่ป่าเถื่อนงั้นหรือ?
ทั้งที่คนนอกเผ่าพวกนั้นแบ่งแยกพวกเขาออกเป็นชนชั้นที่ดูต่ำต้อยกว่า แล้วพวกเขาเองจะแบ่งแยกกันอีกไปทำไมกัน แล้วทำไมความสมัยใหม่ถึงไม่ถูกกระจายไปยังฝั่งตะวันตกด้วยล่ะ? นี้คงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของผลการกระทำที่ส่งผลร้ายของการล่าอาณานิคมที่ต่อให้ยุติลงมาเป็นร้อยปีแต่ผลกระทบจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และจะไม่หยุดถึงแม้คนเหล่านี้จะเป็นไทแล้วก็ตาม
หญิงสาวผิวขาวในบ้านที่ย้อมด้วยสีน้ำตาล ลีน่าคือตัวละครสาวอินเดียนแดงในเรื่องแต่กว่าจะเรามั่นใจถึงความจริงชุดนี้เนื้อเรื่องก็ดำเนินไปพักหนึ่งแล้ว เพราะในการแสดงครั้งนี้ลีน่าได้รับการถ่ายทอดโดยนักแสดงที่มีผิวที่ขาวราวกับเป็นคนจากยุโรป จนทำให้เราครุ่นคิดถึงการเลือกใช้นักแสดงหญิงผิวขาวแทนชาวอินเดียแดงในขณะที่ตัวละครอื่นกลับใช้การแต่งหน้าที่บงบอกว่าเป็นคนผิวสีน้ำตาล
เราไม่ทราบว่านี่คือสิ่งที่บทกำหนดเอาไว้หรือการแสดงชุดนี้กำลังใช้สิ่งนี้สื่อความหมายบางอย่าง เมื่อเราออกมาจากโรงละครและไตร่ตรองถึงจุดนี้จึงค้นพบกับประเด็นที่น่าสนใจ ลีน่าคือชาวอินเดียนแดงที่เกิดในยุคที่รอบตัวเธอแทบจะไม่หลงเหลือวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอินเดียนแดงอยู่เลย เธอน้อมรับความสมัยใหม่ของสังคมที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะทิ้งบ้านของตนแต่กระนั้นเธอกลับหลงใหลให้กับเรื่องราวที่จอนนี่เล่าให้ฟัง อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ศรัทธาต่อเรื่องราว เธอไขว่หาความรัก
ต่างจากบู-น้องสาวของเธอที่ถึงแม้จะเกิดหลังลีน่าแต่เป็นผู้หญิงที่ยังคงรักที่จะฟังเรื่องราวของวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งอาจเป็นเหตุที่ทำให้บูสามารถพูดคุยกับวิญญานของจอนนี่ได้เพียงคนเดียวในเรื่อง ต่อให้ลีน่าพยายามตะโกนร้องเรียกจอนนี่มากแค่ไหนเขาก็ไม่แม้จะเหล่มอง ลีน่าเลือกศรัทธาต่อสิ่งที่คนขาวยึดเธอแต่เธอกลับหลงรักคนป่าเถื่อน และมันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้มันคือความขัดแย้งที่เธอเองก็เลือกเองไม่ได้ เธอศรัทธาต่อสิ่งที่เธอคิดว่ามันกำลังช่วยเธอจากอาการป่วยแต่มันกลับทำร้ายจิตใจเธอเสียเอง
เหตุการณ์ที่เกิดในสถานที่หลากหลายแต่บรรจุรวมในพื้นที่ที่จำกัดได้อย่างสมบูรณ์ เราชื่นชมและตราตรึงถึงการใช้อุปกรณ์ทั้งหมดที่โรงละคร ณ ที่นี้ทำได้ แน่นอนว่างานระดับนักศึกษามหาวิทยาถึงแม้จะเป็นการแสดงส่งธีสิส แต่งบประมาณยังคงถูกจำกัดแต่กระนั้นแล้วโปรดักชั่นโดยรอบไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าถูกตัดขาดถึงความเป็นจริงและยังผลักดันจินตนาการต่อคนดู
ในเรื่อง Coyote city มีจุดขัดแย้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่บ้านไกลจากตัวเมือง เรื่องราวบนถนนในตัวเมือง ห้องพักในโรงแรมและที่พับในเมืองทั้งหมดนี้ได้รับการรังสรรค์โดยฉากที่น้อยชิ้นแต่เพียงพอที่จะทำให้คนดูเชื่อตามเนื่องจากการสนับสนุนของแสงและเสียงประกอบทำให้ทุกสถานที่ในเรื่องมีเหตุการณ์ที่ถูกตัดสลับไปมาเกิดขึ้นได้อย่างลื่นไหลหรือว่าง่าย ๆ คือ Transition ดีมาก ๆ ทั้งที่พื้นที่ของโรงละครไม่ได้กว้างขว้างแต่มันเพียงพอต่อจินตนาการของผู้สร้างผลงาน และนี่คืออีกสิ่งสำคัญที่ทำให้ละครดูได้อย่างสนุกสนาน
สิ่งที่เกิดขึ้นและยุติลงในอดีตไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะจบลง ทุกคนสามารถแยกย้ายไปใช้ชีวิตให้สุขสบายดั้งเดิมได้เสมอไป บางเรื่องมันละเอียดอ่อนมากกว่านั้น โดยเฉพาะเรื่องที่ว่ามันคือเรื่องของมนุษย์แค่คุณมาจากคนละฟากฝั่งโลกความคิดต่อสิ่งเดียวกันก็ย่อมต่างกัน คุณอาจมองเห็นทุ่งหญ้าคือพื้นที่สำหรับเลี้ยงวัว แต่บางคนมองว่ามันคือสถานเพาะปลูก
ประโยชน์และข้อเสียก็แตกต่างกันไป แล้วสิ่งไหนดีกว่ากันเหรอ? ก็คุณเป็นที่ชอบกินเนื้อหรือผักล่ะ? ฉะนั้นก่อนจะให้ความคิดที่มองว่าดีเพราะคุณคิดว่าดีลองนึกว่าจะส่งผลอะไรกับสิ่งนั้นต่อคนอื่นในเวลาถัดมาดูก่อน ละครเวที Coyote city ในเทศกาล BU Playfest คือละครที่มอบแง่คิดอันหลากหลาย
ผ่านรูปแบบการสร้างสรรค์ในงบประมาณและขอบเขตที่จำกัดแต่ทุกอย่างกลับลงตัวอย่างเหลือเชื่อ นอกเหนือจากวัฒนธรรมที่แปลกตา เรื่องราวที่น่าติดตามและเทคนิกที่ใช้นำเสนอ ละครเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงสังคมสมัยใหม่ไม่ได้ตอบโจทย์ให้กับคนที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าป่าเถื่อนไปเสียหมด สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญของการมีอยู่ของศิลปะโดยเฉพาะการละครมันจะยังสะท้อนถึงปัญหาเหล่านี้และได้รับการทำซ้ำ ๆ ตราบจนทุกคนลืมว่าสิ่งนี้เคยเป็นปัญหา
โฆษณา