7 มี.ค. เวลา 04:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
กรุงเทพมหานคร

มนุษย์ต่างดาวมีจริง! พระพุทธเจ้าได้เผยความจริงนี้ไว้นานแล้ว

ปัจจุบันกระแสข่าวการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาวกำลังโหมกระพือหนักมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนมากที่เริ่มเรียนรู้วิธีการตื่นรู้ และหาทางหลุดพ้นจากวงจรแห่งโลก บุคคลเหล่านี้ขนานนามตัวเองว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ดวงดาว หรือStar Seeds
สตาร์ซี้ดจะเชื่อกันว่าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ถูกส่งมาเกิดเพื่อทำภารกิจต่างๆบนโลกเพื่อนำพาโลกให้ก้าวสู่ความศิวิไลซ์รอบด้าน เมื่อสำเร็จภารกิจแล้วชาวสตาร์ซี้ดก็จะหลุดพ้นและไปสู่มิติที่ ๕ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับหลักการหลุดพ้นไปนิพพานของพุทธศาสนา
แม้แต่ในไทยเองก็มีกระแสของสตาร์ซี้ดและมีผู้ใช้บัญชีแพลทฟอร์มออนไลน์สีโทนอุ่นหลายรายออกมาบอกว่าตนคือจิตวิญญาณของมนุษย์ดาวนั้นดาวนี้ลงมาเกิดเพื่อทำภารกิจกอบกู้โลกให้พ้นจากยุคอานารยะ เพื่อความศิวิไลซ์พูนผลในอนาคต นอกจากนี้ยังพูดเชิงทำนายถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลก ซึ่งมาจากการที่มนุษย์เสื่อมศีลธรรม
ซ้ำยังเหมารวมว่าทุกๆศาสนาคือความหมายเดียวกัน คำสอนเดียวกัน จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการไปสู่มิติที่ ๕ หรือไปสู่การหลุดพ้นจากวังวนของการดิ้นรนบนโลก พอไปสู่มิติที่ ๕ แล้วก็จะเป็นสุขแท้จริง ไม่จำเป็นต้องกิน ไม่ต้องดิ้นรนหากิน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องขับถ่าย ไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไป จะพบแต่ความโล่งสบาย โดยไปได้ด้วยการนั่งสมาธิถอดจิตไปรับรู้ได้ทันทีในตอนที่ยังมีชีวิตอยู๋ด้วยซ้ำ
ลัทธิที่เชื่อว่าตัวเองคือมนุษย์ต่างดาวชั้นสูงที่ถูกส่งมาเกิดในครรภ์มนุษย์โลกนี้เป็นแนวความเชื่อยุคใหม่ที่เรียกกันว่าลัทธินิวเอจ อันมีรากฐานมาจากความไม่มั่นใจในทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เนื่องจากมีข้อผิดพลาดหลายอย่างที่ปรากฏชัดให้สังคมโลกได้ช็อก ทั้งผลพวงของวัคซีน ผลเสียของพลาสติก การพบไมโครพลาสติกในร่างกายของทารกที่ยังอยู่ในครรภ์ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรอยบากที่ส่งผลให้คนรุ่นใหม่พยายามดิ้นรนหาแนวทางที่จะสร้างความปลอดภัยทั้งทางด้านจิตใจและร่างกายของตัวเอง เมื่อมีความเชื่อเรื่องจิตต่างดาวหรือสตาร์ซี้ดเข้ามา มันก็ตอบโจทย์พวกเขาพอดี ปัจจุบันจึงมีคนเริ่มเชื่อถือในหลักการจิตต่างดาวมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้สึกมั่นคงในภาวะความเป็นไปของโลกปัจจุบัน
แต่ตรรกะหรือหลักการของสตาร์ซี้ด(หรืออีกชื่อหนึ่งคือชาวแสง เพราะเชื่อว่าใช้แสงสร้างรูปสื่อสารแทนภาษา)นั้น เมื่อพิเคราะห์กันอย่างถ่องแท้แล้วจะพบว่ามีความง่ายต่อการสับสนว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือจินตนาการ สภาวะอาการนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาทางจิตศาสตร์ว่า "ภาวะความผิดพลาดในการติดตามลงลึกแหล่งที่มา"(source monitoring error)
ซึ่งเมื่อภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นติดต่อกันเรื่อยๆก็จะกลายเป็นโรคจิตเภทชนิดเบา ที่มีชื่อว่า "โรคเสพติดการสมคบคิด"(schizotypal personality disorder)
เมื่ออาการเริ่มทิ้งระยะไปเรื่อยๆก็จะเข้าสู่ภาวะสมองรวนที่มีชื่อเรียกในฐานะโรคด้านจิตเวช ว่า "โรคสับสนด้านภววิทยา"(ontological confusion) ดังจะเห็นได้จากชาวโซเชี่ยลคนดังบางท่านทำคลิปอธิบายอย่างเชื่อมั่น(เต็มหน่วง)ว่าตัวเองคือชาวแสงสตาร์สีดผู้ตื่นรู้ ผู้นำพาฝูงชนหลุดพ้นวงจรโลก หลุดพ้นภัยพิบัติได้
ปัญหาจากการเกิดอาการข้างต้นจะส่งผลให้บุคคลที่เชื่อว่าตัวเองเป็นชาวแสงจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือการเปรียบเปรยและอะไรคือข้อเท็จจริง เช่นหากมีผู้กล่าวว่า “ชาวดาววารีจะมีรูปร่างเป็นเกล็ดมีท่อนล่างคล้ายงู มีถิ่นอาศัยเป็นใต้บาดาลของดวงดาวแห่งน้ำ” คนที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็จะโยงไปได้เองเลยว่าอ๋อ.. ชาวดาววารีคือพญานาคดีๆนี่เอง และชาวดาววารีนี่แหละคือต้นกำเนิดพญานาคที่แท้ทรู อะไรประมาณนั้น(ซึ่งชาวดาววารีมีจริงไหมก็ไม่รู้ เป็นแค่คำพูดจากสาวกลัทธิชาวแสง)
จริงๆความเชื่อของสตาร์ซี้ดก็มีส่วนถูกต้องตรงตามสิ่งที่พระศาสดาทรงค้นพบหลายอย่างอยู่ เช่น รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง รู้ว่าการหลุดพ้นก็มีจริง รวมทั้งยังรู้ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงเหมือนที่พระพุทธองค์ทรงรู้อีกต่างหาก ทั้งสามอย่างนี้ตรงกับข้อเท็จจริงของจักรวาลที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบทั้งสิ้น
แต่ความเชื่อของชาวแสงที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกฉบับดั้งเดิม(สามารถหาอ่านเวอร์ชั่นคัดย่อออกมาเป็นภาษาปุถุชนเพื่อความเข้าใจอันง่าย จัดทำโดย อ.วิชิต ธรรมรังษี ได้เลย ชื่อหนังสือ "ซอกตู้พระไตรปิฎก")คือการกลับชาติมาเกิดในดาวดวงอื่น ในศาสนาพุทธค้นพบความจริงที่ว่าสัตว์ที่ไม่มีปัจจัยนำพาไปทวีป(ดาว)อื่น ก็จะไม่สามารถย้ายไปเกิดที่ดาวอื่นได้ อย่างไรเสียก็ต้องกลับมาเกิด ณ ดาวดวงเดิมหรือกามภพ รูปภพและอรูปภพในทวีป(ดาว)นั้นๆที่ตนเคยเกิดและผูกพัน(อาวรณ์)
เพราะฉะนั้นความเชื่อของชาวแสงที่ว่าตนเองเดินทางจากดาวดวงอื่นมาเกิดในท้องแม่ชาวโลกนั้นจึงไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น แม้เหล่าชาวแสงจะอ้างว่าพวกเขาล้วนอ้างว้าง รู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยวเดียวดายและซึมเศร้าจากการที่เข้ากับผู้คนในดาวโลกไม่ได้เนื่องจากจิตเดิมคุ้นชินอยู่แต่กับดวงดาวที่ตนจากมาก็ตาม แต่เมื่อไม่มีความอาวรณ์หรือสัญญา(ความผูกพันธะ)ในดาวโลก การจะเป็นจิตจากต่างดาวลงมาเกิดที่ดาวโลกนั้นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ยิ่งสาวกชาวแสงบางท่านที่อ้างว่าได้รับภารกิจให้มาปฏิบัติบนโลก ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่ เพราะภารกิจเดียวของเราชาวชมพูทวีป(ชาวโลก)นั้นคือการละทิ้งกิเลสทั้งสิบ(สังโยชน์สิบอย่าง)ให้หมดไป เพื่อให้สุดท้ายแล้วจิตเบา ว่างจากบุญและบาป ก่อนจะลอยตัวสู่นิพพาน(นิพพานแปลว่าความร่มเย็น หมายถึงการไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป) หลังจากที่ตายลงในชาตินี้หรือชาติใดในภายภาคหน้าก็ตาม
พระพุทธองค์ทรงพาพระสัพพัญญูแห่งพระองค์ไปค้นพบดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตและมนุษย์อื่นๆอีกนับแสนนับล้านดวง แต่ดวงดาวที่ใหญ่ที่สุดที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้มีทั้งหมดสี่ดวงดาวด้วยกัน มีมนุษย์อาศัยอยู่ทั้งสี่ดาว และเป็นมนุษย์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนมนุษย์ของดาวอื่นๆอีกนับล้านดวง
ยกตัวอย่างดาวดวงแรกชื่อว่าอุตตรกุรุ(ตามภาษาเรียกแบบมคธ) อยู่ทิศเหนือของจักรวาล มนุษย์ที่นี่มีเดือยมีเหลี่ยมตามใบหน้าและร่างกายนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นมนุษย์(กายหยาบ) ผิวกายสีออกชมพูทอง ชาวอุตตรกุรุล้วนทำบุญแก่กล้าไว้แต่ปางก่อน แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ได้แต่ทำบุญเพราะความเพลินหรือหวังผล เลยได้มาเกิดในอุตตรกุรุโลกอันมีพืชผลลูกใหญ่ เด็ดกินได้ทั่วไป มีความเพลิดเพลินร้องรับขับฉลองอยู่เป็นนิจ ผู้คนไม่โกรธกัน มีอายุเป็นพันปี ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งเพราะไม่มีผลประโยชน์ต่อกัน เน้นความสนุกสุขอารมณ์
ผู้คนในอุตตรกุรุทวีปล้วนสวยหล่อ เดินไปหนทางไหนก็มีแต่ทองและอัญมณี คล้ายสวรรค์แต่เป็นของหยาบทั้งหมด ที่ดาวอุตตรกุรุทวีปจะมีศิลาพิเศษที่ส่องแสงได้ เมื่อตัดมาเป็นแผ่นๆก็สามารถใช้ให้ความร้อนและแสงสว่างได้ ใช้เป็นเตาทำอาหารก็ได้ ชาวดาวดวงนี้ทุกคนจะตายตามอายุขัยคือ1000ปี ไม่มีอุบัติเหตุไม่มีการแก่เฒ่าและโรคร้าย ไม่มีโอกาสที่จะทำบาปแต่ก็ไม่มีโอกาสฟังธรรม เมื่อตายไปแล้วก็ได้เป็นเทวดาบนสวรรค์เพียงสองชั้นคือจาตุมหาราชและดาวดึงส์เท่านั้น(แต่เป็นสวรรค์ในเขตของอุตตรกุรุทวีป)
พวกชาวอุตรกุรุทวีปทำบุญ(ทาน)ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเลยได้ไปแค่สวรรค์ ไม่อาจหลุดพ้นไปสู่นิพพานได้ สุดท้ายพอหมดบุญจากสวรรค์ก็ลงมาเกิดเป็นชาวอุตตรกุรุทวีปดังเดิม ชาวอุตตรกุรุทวีปมีข้อดีคือทุกคนศีลเสมอกันเรื่องกาม ชายหญิงเมื่อจับคู่กันแล้วก็จะเสพสมกันแค่เจ็ดวัน แล้วค่อยเลิกรากันไปหาใหม่ หรืออยู่ด้วยกันจนตายจากกันก็มีแล้วแต่กรณี โดยจะไม่มีการโกรธกัน ไม่มีการน้อยเนื้อต่ำใจหึงหวง อุตตรกุรุทวีปจึงมีแค่อารมณ์เพลินเท่านั้น แม้การทำบุญยังเป็นไปด้วยความเพลินความสำราญ
เมื่อชาวอุตตรกุรุทวีปตายไปขึ้นสวรรค์แล้วหมดบุญจากสวรรค์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นครุฑ นาค ยักษ์ หรือเทวดาอยู่ก็ตาม หากหลงในความสุนทรีย์สุดกู่ สุดท้ายแล้วเมื่อหมดบุญจากเทวโลกก็จะลงมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในอุตตรกุรุทวีปต่อไป แต่ถ้าไม่หลงมาก ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในอุตรกุรุทวีปเช่นเดิม ไม่มีการลงนรก วนเวียนอยู่แบบนี้
จะเห็นได้ว่าชาวแสงไม่มีหลักการว่าด้วยเรื่องนรกสวรรค์ มีแต่ว่าด้วยเรื่องของมิติต่างๆ ซึ่งเรื่องของมิติดังกล่าวนี้ตรงกับหลักของพุทธ ที่ว่าด้วยเรื่องภพภูมิซ้อนทับ แต่หลักการของชาวแสงไม่มีคำอธิบายว่ามิติต่างๆแตกต่างกันอย่างไร มีองค์ประกอบเช่นไร มีแต่บอกว่าคน(ชาวแสง,เอเลี่ยนชั้นสูง)ในมิติที่สูงกว่าจะมองเห็นและอาจติดต่อมาหาคนในมิติที่ต่ำกว่าได้ ประมาณนี้(เหมือนหนังเรื่องอินเตอร์สเตลลาร์)
ตอนต่อไปจะขอพูดถึงดวงดาวหลักๆอีกสามดวงดวงอันเป็นถิ่นอาศัยของมนุษย์ อันได้แก่ อมรโคยาน บุพพวิเทหะและดาวโลก(ชมพูทวีป) รอติดตามอ่านกันให้ได้นะครับทุกคน
((สามารถคัดลอกบทความได้โดยให้เครดิตแอดมินเตมียนาคราชแห่งเฟซบุ๊คเพจ ธรรมมะแฟนตาซี จะได้ไม่ถูกดำเนินคดีด้านลิขสิทธิ์นะครับ))
โฆษณา