12 มี.ค. เวลา 12:14 • สัตว์เลี้ยง

บันทึกของปุยใจ แมวป่วยโรคไต

เนื้อหาหดหู่นะคะ ไม่พร้อมข้ามบทความนี้ไปก่อนน้า
โรคไต กับ ไตวายต่างกัน ไตวายเป็นภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำงานลง เมื่อจัดการกับต้นเหตุที่ทำให้ไตทำงานได้น้อยลงได้แล้ว สุขภาพไตมีโอกาสกลับมาปกติ แมวป่วยโรคไตคือ
แมวที่มีไตไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์อย่างถาวร เมื่อตรวจจะพบค่าไตสูงอยู่เสมอ เราดูแลรักษาด้วยการประคอง ให้เค้ามีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงกับแมวปกติที่สุด เมื่อรักษาให้พ้นจากภาวะไตวายได้แล้ว ในแมวที่ไตไม่สามารถกลับมาทำงานได้ปกติ มักจะต้องกินอาหารโรคไตไปตลอดชีวิต เจ้าของต้องหมั่นดูปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อร่างกายของเค้า และ ตรวจสุขภาพถี่ขึ้นตามความเห็นสมควรของสัตวแพทย์
กลับมาเรื่องของปุยใจ สุดท้ายวันนี้ก็ได้เขียนบันทึกของปุยใจ เหมือนที่เคยเขียนบันทึกของเปี๊ยก ข้าวพอง ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ยังถามตัวเองอยู่เลยว่า “ผ่านคืนนั้นมาได้ยังไงนะ” อาจเป็นเพราะ ทำการบ้านมานาน เผื่อใจมามากพอ
ย้อนกลับไปปุยใจไตวายครั้งแรกน่าจะราวๆ ตอนอายุขวบกว่า ๆ เราพบภาวะเลือดจางร่วมด้วย สุดท้ายรักษาให้ค่าไตกลับมาปกติ ภาวะเลือดจางจะกลับมาปกติช้า เมื่อเลือดจางนาน ทำให้ไตของปุยใจเสื่อมอย่างถาวร จากครั้งแรก ก็มีครั้งต่อๆ มา อาการป่วยก็หนักขึ้นเรื่อยๆ การฟื้นตัวก็ช้าลง จนมาครั้งที่ 3-4 ที่ปุยใจไตวาย นอกจากภาวะเลือดจาง เราพบโรคหัวใจเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งมันอาจจะพบได้ในแมวที่ป่วยโรคไตเรื้อรัง นอกจากการตรวจ SDMA ก็ทำการตรวจ ultrasound พบว่าเนื้อไตที่ยังทำงานได้ของปุยใจเหลืออยู่ไม่เกิน 25%
คำถามแรกที่ถามคุณหมอคือ “จากประสบการณ์ คุณหมอคิดว่าปุยใจเหลือเวลาอีกเท่าไหร่คะ” ในใจคิดว่าปุยของเหลือเวลาราว ๆ 2 ปี ซึ่งคุณหมอก็คาดการณ์ไว้เหมือนกัน เอาน่ะปุยใจอย่างน้อยมันก็เกิน 2 ปีมาพอสมควรนะ แถมอยู่แบบแก่นแก้วมากยิ่งกว่าก่อนป่วยอีก โดนสปอยเยอะๆ แล้วเอาแต่ใจเก่งเชียว
จากวันนั้นปุยใจใช้ชีวิตได้เกือบจะปกติ ด้วยน้ำหนัก 4.2 กก. เพียงแค่ต้องกินอาหารโรคไต กับให้น้ำเกลือใต้ผิวหนังในบางช่วง ด้วยความที่เลี้ยงด้วยกัน 4 ตัว ทุกตัวก็โปรดปรานอาหารรักษาโรคไตมาก บางช่วงที่ดูว่ากล้ามเนื้อของลูก ๆ รวมถึงปุยเองด้วยหลวมลง ก็จะสลับกับอาหารที่ดูแลเรื่องไต กับ เบาหวาน ที่มีโปรตีนสูงกว่า แล้วค่อยกลับมาให้อาหารรักษาโรคไต
เมื่อปุยมีอาการแห้งน้ำ พอได้น้ำเกลือปุยใจก็จะกลับมาสดชื่น กินอาหารได้ จากหลาย ๆ เดือนปุยใจจะแห้งซักทีนึง ก็เริ่มแห้งถี่ขึ้น ผอมลง พาปุยไปหาหมอบางครั้งก็จะได้ยาลดฟอสฟอรัสในเลือดกลับมาป้อนด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่ลืมเอามาคิด คือ การตรอมใจ ปุยใจติดปุ้นมาก เมื่อปุ้นไปดาวแมวแล้ว สังเกตุได้ว่าปุยพยายามเข้าหาเทา กับ ตาล เท่าที่ดู ๆ เทากับตาลไม่ได้เป็นเซฟโซนให้ปุยได้เลย ผลกระทบต่อสุขภาพตรงมันไม่ได้ชัดมาก เพราะ ตัวสุเองทำงานอยู่กับเค้าเกือบตลอด จากที่งอแงกับปุ้น ปุยก็มางอแงกับสุแทน แต่มันมาชัดตอนที่สุต้องไปทำงานนอกบ้าน เวลาออฟฟิศเหมือนคนปกติแค่ 3 วัน ปุยก็ทำหน้าเซ็ง กลับมาพักอยู่กับเค้า 2 วัน แล้วไปทำงานต่างจังหวัด 4 วัน
กลับมาพบว่า “ปุยใจไม่กินข้าวเลย” ถึงแม้จะมีคนอื่นๆ ในครอบครัวเข้ามาดูแลแทน แต่ปุยต้องการเวลางอแงกับใครซักคนทุกวัน แล้วใช่ค่ะ ปุยใจแห้งน้ำมาก นอกจากให้น้ำเกลือ ก็ต้องโอ๋เค้ามากๆ 3 วันปุยก็กลับมากิน เล่นได้ปกติให้หายกังวล ทุก ๆ วันที่ตื่นขึ้นมาเจอเค้า ด้วยสภาพปุยที่ค่อยๆ ผอมลง ก็มีคำถามทุกๆ วัน… จะวันไหนนะ ? วันนั้นของปุยจะทรมาณ จะยืดเยื้อมากมั้ยนะ?
วันสุดท้ายไม่ได้มีอะไรผิดปกติจากเดิม ปุยก็แห้ง ๆ น้ำ ซึ่งแต่ละครั้งที่ปุยแห้ง สุจะให้เวลาปุยไม่เกิน 1-2 วัน ถ้าให้น้ำเกลือเองเเล้วปุยยังไม่หายแห้ง ต้องหาหมอ สิ่งที่ลำบากใจในการแอดมิทของปุยคือ การตรอมใจ ดังนั้นถ้าดูแลเองได้ ก็จะพยายามดูแล
ครั้งนี้ที่ปุยเริ่มแห้ง เมื่อได้น้ำเกลือปุยก็กลับมากินได้ ซน ทำตัวเรื่องเยอะ พูดมาก วอแว วุ่นวาย อ้อนกับอิแม่เหมือนเดิม แต่พอเข้าวันที่ 3 ปุยบ่นเยอะ ไม่กิน เดินไม่มั่นคงเหมือนปกติ ต้องป้อนอาหารเหลว ดูไม่สบายตัว เดินไปเดินมาหาที่นอน
วันนั้นสุก็เดินไปคุยไปเล่นกับเค้า รู้แล้วแหละว่าวันนี้ผิดปกติมาก โดยเฉพาะกลิ่นปาก ซึ่งปกติก็จะเหม็นเป็นช่วงๆ คาดว่าตามค่าไต หลังจากป้อนอาหารให้น้ำเกลือ ก็กะว่ารอดูอาการซักพัก ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องหาหมอแล้วล่ะ สุก็หันกลับมานั่งทำงาน เค้าก็นอนมองสุตลอด พอสุวางมือจากงานมาหาเค้า คราวนี้มดขึ้นตาปุยใจ ….
เวลาไม่นานจากที่มานั่งเล่นกับเค้า ปุยหมดแรงจนมดขึ้นแล้วไม่ช่วยเหลือตัวเอง ประเด็นคือ “เบาหวาน” หรอ? หรือ ขบวนการจัดการน้ำตาลบางอย่างเพี้ยนไป? ตอนนี้เมื่อลูบตัวปุย ปุยจะสะดุ้งง่าย โดยเฉพาะช่วงท้ายตัวลงมา เช็คการทำงานของม่านตาปุย เริ่มไม่ปกติ
“หรือจะวันนี้นะ?” ตอนนั้นสุมีความสับสนนะ คือเค้าค่อนข้างสงบ ร่างกายไม่ได้ดูโทรมหนักเมื่อครั้งก่อนๆ จากเคยคุยกันกับหมอ ก็คิดว่าครั้งต่อไปปุยคงไม่รอด จะปล่อยให้ปุยไปดีมั้ย เพราะ เค้าไม่ได้ทุรนทุราย การเอาไปแอดมิทจะยิ่งทรมาณเค้าหรือเปล่า หรือ สุกำลังจะตัดโอกาสในการมีชีวิตของปุยไป …. ข้อความคุยกับคุณหมอ คุณหมอใจดีมาก รีบโทรกลับ
หลังจากตั้งสติ ทบทวนว่าเราจะเอายังไง ถ้าหาหมอผลออกมาในแต่ละรูปแบบ จะตัดสินใจยังไงต่อ ก็พาปุยไปหาหมอ ตอนนี้สภาพปุยไม่ต้องใส่บ็อคแล้ว จับนอนในกระบะ ห่อแผ่นรองเปื้อนขึ้นรถได้เลย
ผล x-ray ปอดของปุยเคลียร์ดี แต่ไม่อึมาได้ 1-2 วันแล้ว (นี่แหละนะ ผลของการเลี้ยงรวม คือ พอดูออกว่าอึในกระบะมันน้อยกว่าปกติ ก็คิดว่าอาจจะของปุยใจนั้นแหละที่หายไป เพราะแอบจำกลิ่นได้ แต่มันไม่ทันเอะใจ) พบหัวใจโต ไตเล็ก ผลเลือดจากการสกรีนคร่าวๆ มีภาวะเลือดจาง เลยทำให้อ่อนเพลีย ค่าไตสูงขึ้นจากเดือนก่อน ค่าน้ำตาลสูงนิดหน่อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติของแมวโรคไต
ส่วนค่าของเสียจากโปรตีนในเลือด (BUN) สูงตามคาด จึงทำให้ปุยเริ่มมีอาการทางระบบประสาท และ หมอคิดว่าปุยใจใกล้จะชักในไม่ช้า ซึ่งปกติจะไตวายค่าของเสียสูงรอบไหนปุยยังไม่เคยมีอาการแบบนี้
ตามจริงปุยใจควรแอดมิทแหละค่ะ คุณหมอเองก็บอกว่าไม่มั่นใจว่าต่อให้แอดมิทปุยจะอยู่ได้ถึง 24 ชั่วโมงมั้ย แต่ปุยยังฉี่ได้เยอะ ไตยังทำงานอยู่ ก็ยังไม่เข้า state ที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายหยุดทำงาน อาจจะยื้อกลับมาได้ หรือ หลังจากนี้ปุยอาจจะเข้า state shut down ก็ได้ เราคุยกันว่าถ้าแอดมิทจะต้องทำยังไงบ้าง มีโอกาสที่จะรักษา ประคับประคองแบบไหนบ้าง ทั้งเรื่องการถ่ายเลือด การจัดการกับค่าของเสีย การให้อ็อกซิเจน
สรุปสุเอาปุยใจกลับบ้านมาก่อน พร้อมยากันชัก เมื่อน้ำเกลือใต้ผิวที่ให้ปุยไปตอนบ่ายดูดซึมหมด สุจะไม่ให้เองเเล้ว จะพาไปให้หมอให้น้ำเกลือเข้าเส้นแทน จะได้ประสิทธิภาพดีกว่า และ ถ้ายากันชักหมด หรือ ให้เเล้วปุยไม่หยุดชักก็จะกลับไปหาหมอทันที
เพราะ สุยังรู้สึกว่าปุยยังรับรู้ ปุยยังเรียกเเล้วขานบ้างในบางครั้ง สำหรับสุการจากไปแบบตรอมใจคงเจ็บปวดมาก สำหรับแมวที่อยู่คนเดียวไม่เป็น ที่บ้านมีเครื่องผลิตอ็อกซิเจน ไม่ไกลจากรพส. มาก และสุคิดว่าสุพร้อมที่จะเจอภาพปุยใจชัก คิดว่าตัวเองสามารถตั้งสติให้ยาปุยได้ และ รับได้ถ้าปุยจะชักแล้วจากไปในมือสุ ซึ่งหมอก็เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกสุ ที่จะต้องเจอภาพพวกนี้มาก ขอบคุณนะคะ
กลับมาถึงบ้านสุเอาอ็อกให้ปุยดม หยดน้ำตาเทียมให้ เพราะ ปุยกระพริบตาน้อยมากแล้ว จัดที่นอนให้ปุยมานอนข้างๆ สุ บนที่นอนเหมือนเดิม ปูผ้าใส่กระบะนอน วางบนแผ่นอุ่น ห่มผ้า ค่อยดูอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินไป ปุยตัวอุ่นขึ้น หายใจดูสบายขึ้น เรียกไม่ค่อยขานแล้ว แต่ยังมีมองตามบ้าง
ระหว่างนอนเฝ้า มือข้างนึงจะวางไว้บนตัวปุยใจตลอด เพื่อสัมผัสการหายใจ การเต้นของหัวใจ การเกร็งของกล้ามเนื้อ เพราะ การชักไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาในรู้แบบลมบ้าหมู แค่บางครั้งเป็นเพียงการเกร็งของกล้ามเนื้อก็ได้เช่นกัน เพื่อที่จะประเมินว่าล้มเลิกแผนการอยู่บ้าน หิ้วหาหมอได้ในทุก ๆ นาที
แล้วสุดท้ายปุยก็ชัก ปุยใจไม่ได้ชักรุนแรงแบบแมวบางตัวที่สุเคยเห็น ตัวของปุยสั่น แขนขากระตุกเบาๆ ถือว่าเป็นสภาพที่เบากว่าที่เผื่อใจไว้มาก
การให้ยากันชักครั้งแรกเกิดขึ้นตอนตี 3.14 ค่อนข้างลำบาก เพราะ ไม่ได้คิดถึงเรื่องกล้ามเนื้อหูรูดจะบีบเกร็งอย่างรุนแรง เมื่อรูก้นหดตัว ก็ดูไม่ชัด ทำให้กลัวสอดผิด ยังดีว่าเมื่อได้ยาปุยหยุดชักได้ไว ปุยมีอาการตัวเกร็งเบาๆ บ้างเป็นระยะ ไม่ถี่ จนครั้งที่ 2 ก็ไม่ลืมปาดวาสลีนก่อนสอดยาให้ปุย ตอนนี้การสื่อสารเดียวระหว่างสุกับปุยคือการหยดน้ำตาเทียม ที่เค้ายังคงมี reflect กระพริบตา
นอนมองเค้าจนเช้า เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ปุยที่ยังคงนอนนิ่งๆ อยู่ ตอนนี้ไม่ได้นอนนิ่งเพราะสงบ สบายตัว แต่น่าจะเพราะของเสียในเลือดไปรบกวนสมองเค้ามากขึ้น การหายใจถี่เท่าเดิม แต่เสียงหายใจฟังแล้วดูไม่สบายตัว การเต้นของหัวใจถี่ต่อเนื่อง เต้นเบาบ้าง แรงบ้างเป็นพัก ๆ ไม่สม่ำเสมอ
ราว 7 โมงกว่าๆ ปุยชักอีกครั้ง มือนึงคว้ายา มือนึงยังคงจับหน้าอกของเค้าอยู่ แล้วเค้าก็สงบลง มือนึงยังคงถือยาไว้ ตามองเค้า ปุยขยับตัวเล็กน้อย แต่จากที่เคยเลี้ยงแมวมา พอรู้ได้ว่าคงเป็นวินาทีที่เค้าจะไป
อุตส่าห์กลั้นน้ำตาไว้จนเช้า รีบบอกรักเค้าอีกครั้ง ขอบคุณที่เกิดมาให้รักกัน และ ขอโทษที่ทำให้เค้าเกิดมา แต่มีชีวิตสั้นแค่นี้ ตอนแรกนึกว่าหัวใจเค้าจะค่อยๆ เต้นอ่อนลง แต่เปล่าเลย หัวใจเค้าหยุดไปพร้อมๆ กับลมหายใจสุดท้าย
จับเค้าพลิกตัว กางแขนออก จับชีพจรที่ใต้รักแร้ เอาหูแนบฟังเสียงจากหน้าอก ทุกอย่างจบแล้ว จากปกติปุยใจใช้เวลาเป็นเดือนๆ อยู่ในอาการโคม่า ได้ออกจากรพส. มาในสภาพให้กลับมาใช้เวลาสุดท้ายที่บ้าน ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นจนกลับมาน่ารักดูเป็นแมวปกติตัวหนึ่ง สุดท้ายเค้าไปง่าย ใช้เวลาสั้นกว่าที่คิดมาก เพียงไม่ถึง 1 วัน สภาพปุยไม่ได้ดูแย่เหมือนการทรุกครั้งก่อนๆ ด้วยซ้ำ
อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นเพราะดีขึ้นเพราะกลับบ้าน ยาบางตัวจำเป็นต้องใช้เวลานานในการตอบสนองจากร่างกาย เมื่อถึงบ้านร่างกายก็ตอบสนองกับยาพอดี พออารมณ์ดีกินเองได้ ก็เลยฟื้นตัวได้ไวเท่านั้น
ที่เขียนมา ไม่ได้จะบอกว่าสุคิด และ ตัดสินใจทุกอย่างถูกต้อง มันแค่ถูก และ เหมาะสมที่สุดใน “ความคิดของสุ” สำหรับ ณ เวลานั้น ซึ่งไม่ถึงกับแย่ในมุมของสัตวแพทย์ที่อยู่หน้างานตอนนั้น ถ้าคืนนั้นปุยใจอยู่กับคุณหมอ …
….. ถึงแม้การให้น้ำเกลือเข้าเส้นคืนนั้นอาจจะทำได้น้อย เพราะปุยได้น้ำเกลือใต้ผิวไปแล้ว แต่ก็จะช่วยขับค่าของเสียในเลือดได้บ้าง
….. ถ้าได้ยากันชักแบบฉีด อาจจะประคองการชักได้ดีกว่านี้
….. ถ้าในนาทีสุดท้ายที่เสียงหายใจของปุยฟังดูแปลกไป ปุยอาจจะได้ยาขับน้ำ อยู่ตู้อ็อกแรงดันสูง ปุยอาจจะกลับมา หรือจากไปช้ากว่านั้นนิดหน่อย
แต่สิ่งที่ทำให้สุตัดสินใจแบบนี้ เพราะ ลึกๆ แล้ว สุแอบเชื่อว่าเค้าไม่รอด ยังไงเค้าก็จะชัก และต้องยอมรับว่าลึก ๆ แล้วสุอยากให้เค้าจากไปแบบนี้มากกว่าที่จะหลับไปนอกสายตาสุ จากทุก ๆ ครั้งที่เวลาป่วยเค้าจะหันหลังให้สุ สายตาวันนั้นที่เค้ามองสุตลอดเวลาที่นั่งทำงาน ทำให้สุ “คิดเอาเอง” ว่าถ้าเค้าจะไปด้วยการมีสุอยู่ข้าง ๆ คงจะดีกว่า
บันทึกนี้ไม่ได้เขียนเพื่อให้เอาเป็นแบบอย่างว่าแมวป่วยเป็นโรคไตเอากลับมาตายที่บ้าน คือ คำตอบที่ดีที่สุด แต่สุอยากให้เรื่องราวของปุย แมวป่วยเป็นโรคไต อาจจะพอให้เจ้าของพอจะเห็นภาพว่าจะพบกับอะไรได้บ้าง ถึงอย่างนั้นการเป็นไปของโรคไตในแมวของแต่ละตัวไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว ทั้งความรุนแรง อาการเมื่อทรุดลง หรือ สภาพหลังการฟื้นฟูร่างกาย อย่างเช่นอาการชักของปุยใจ เมื่อเทียบกับแมวหลาย ๆ ตัว ไม่ได้รุนแรง บางตัวทั้งดิ้น ร้อง น้ำลายไหล ข่วน
ดังนั้นถือว่าเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่ง เผื่อเอาเป็นแนวทางในการตัดสินใจรับมือกับสิ่งที่จะเจอ ไม่ว่าจะการรักษา ประคับประคอง หรือ ความรู้สึก สำคัญคือ ถึงแม้สุอาจจะดูเหมือนว่าเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับปุยบ้าง แต่สุพาปุยหาหมอไม่ขาด ถ้าอยู่ในช่วงเวลาสันสบแบบสุในคืนนั้น แล้วไม่มั่นใจว่าจะตั้งสติรับมือได้มั้ย ทั้งเรื่องในและเหนือความคาดหมาย การเลือกให้แมวที่อยู่ในความดูแลของหมอจะดีที่สุด คืนนั้นคุณหมอก็ต้องให้เวลาสุหลายรอบกว่าสุจะตัดสินใจได้เพราะเค้าเป็นคนเดียวที่สุเอากลับมาบ้านแบบนี้ ปกติสุจะให้แอดมิทค่ะ
ฝันดีนะปุยใจ สาวส้มคนแรก คนเดียวของบ้านแมวบุราณ
ขอบคุณที่เกิดมาให้รักกัน มางอแง ทำตัวสะดิ้งศรีใส่อิแม่ ทำตัวเป็นปาท่องโก๋จนปุ้นเอือม
ขอโทษที่ทำให้หนูเกิดมา แต่หนูไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงเหมือนเพื่อนๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ยาวนานอย่างที่ควร ต้องให้น้ำเกลือบ่อย ๆ หาหมอบ่อย ขอให้หนูอยู่ในแสงสว่างที่อบอุ่น ไม่โดดเดี่ยว แม่แต่คนรักคนเมตตา มีความสุขในทุกๆ ที่ที่หนูอยู่นะ
เป็นบันทึกที่ไม่ได้ อ่านซ้ำแก้เรียบเรียงเท่าไหร่ อาจจะอ่านลำบากหน่อยนะคะ … ถ้าไม่เขียนตอนนี้ สุก็ไม่มั่นใจว่าจะจำรายละเอียดเรื่องวันนั้นได้แค่ไหน อย่างน้อยเรื่องราวก่อนที่ปุยจะเดินทาง อาจเป็นประโยชน์ให้ใครได้ไม่มากก็น้อย สุอาจจะดูชิล ดูรับมือกับอารมณ์ตัวเองได้ดี ดูไม่ได้รู้สึกอะไรมากถึงมาพิมพ์เป็นบทความได้ยาวๆ แบบนี้ จริงๆ อยากเขียนให้สั้น กระชับกว่านี้มากๆ
แต่ภาพในคืนนั้นสะเทือนความรู้สึกสุมากจริงๆ ถึงแม้ปุยจะไม่ได้ชักทุรนทุรายน่ากลัวแบบแมวหลายๆ ตัว แต่ภาพมันยังชัดอยู่ ความรู้สึกที่สัมผัสหัวใจที่เต้นครั้งสุดท้ายก่อนจะหยุดไป ความลำบากในการสอดยากันชักครั้งแรก กลิ่นแชมพูอาบน้ำแห้งที่จัดการให้เค้าก่อนส่งเค้าเดินทางก็ยังชัดเจน ยังคงเคยชินที่จะหันไปเรียกหาเค้า แล้วจะเจอแมวหน้าขาวๆ จ้องสุตาโตๆ อ้าปากกว้าง ขานรับกลับมา หรือ มือนึงคอยถือไม้ตกแมวเล่นกับเค้าระหว่างทำงาน เพราะจะอ้อนไม่หยุดเลย
ไม่ชินอีกแล้วสินะ แต่เดี๋ยวก็ผ่านไปได้แบบทุกๆ ครั้ง
โฆษณา