Time รายงานว่า ความพยายามของเศรษฐาในการเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย ได้ก่อให้เห็นถึงผลลัพธ์ประการหนึ่ง หลังจากตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทยเมื่อช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่าตัวเมื่อเทียบเป็นรายปี นอกจากนี้ ในเดือน พ.ย.เพียงเดือนเดียว เศรษฐาสามารถเปิดการลงทุนในไทยจาก Amazon Web Services, Google และ Microsoft มูลค่ารวม 8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.96 แสนล้านบาท)
Time กล่าวถึงเศรษฐาว่า การชักชวนการลงทุนในไทยของเศรษฐา นับเป็นผลมาจากเสน่ห์อันล้นหลามของนายกรัฐมนตรีไทยในฐานะการเป็น “เซลส์แมน” หรือพนักงานขายของประเทศ “ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้ง” นายกรัฐมนตรีไทยระบุกับ Time
ประเทศไทยเผชิญกับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจขั้นวิกฤต นับตั้งแต่การทำรัฐประหารในปี 2557 เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลกึ่งระบอบกองทัพและพลเรือนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร และอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนก่อน ส่งผลให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยเลวร้ายลง Time รายงานอ้างอิง Credit Suisse Global Wealth Databook ว่า
Time ตั้งข้อสังเกตว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะให้คำมั่นที่จะลดอำนาจของกลุ่มบริษัท แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เศรษฐาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดโดยหัวหน้าบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจากหลายสิบครอบครัว