16 มี.ค. เวลา 18:47 • ความคิดเห็น

ชีวิตช่วงหนึ่งของ"อดีต"นักดาบ

ช่วงชีวิตหนึ่ง ผมเคยศึกษาวิชาดาบไทย หรือเรียกรวมๆไปว่ากระบี่กระบอง และได้ทำการแสดงตามที่ต่างๆ หารายได้พิเศษในช่วงวัยเรียน ซึ่งก็นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีช่วงหนึ่ง
ไม่นานมานี้ มีเหตุการณ์อะไรบางอย่าง ทำให้ผมหวนนึกถึงช่วงเวลานั้น
ผมจึงอยากเล่าสู่กันฟังเล็กๆน้อยๆครับ
ช่วงชีวิตนั้น ผมเองมีความตั้งมั่นที่แน่วแน่ในสายวิชานี้ แต่อิทธิพลรอบข้าง ตลอดจนความเป็นวัยรุ่นของผมในตอนนั้นทำให้ผมขาดความยั้งคิดในหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นความคิดที่ว่าสายวิชาของตนเองนั้นสุดยอดที่สุด ในตอนแรกนั้นผมอยู่ที่สำนัก (จริงๆก็คือชมรมชมรมหนึ่ง) ผมได้เห็นการฝึกฝนและฝีมือของรุ่นพี่ที่เขาเก่งกว่าผม และในบางครั้งผมก็เก่งกว่าบางคน ณ ที่นั้น ผมเองก็พาลคิดไปว่า พวกเรานี่เป็นเลิศนะ เรียกง่ายๆว่ามันคือการก่ออัตตา หรือที่สมัยนี้นิยมเรียกว่า EGO
จริงๆแล้ววิชาเหล่านี้ไม่ได้ล้างสมองใครทั้งสิ้นครับ ไม่ได้มีใครบังคับให้ผมเชื่อ ไม่มีการ Stereotype จากครูผู้สอน แต่ผมในตอนนั้นเป็นเด็กคนนึงที่ขาดที่พึ่งทางใจ มันจึงเกิดความศรัทธาขึ้นมาโดยขาดปัญญา เราเชื่อทุกอย่างที่ตาเห็น เชื่อทุกอย่างจากคลิปวีดีโอ หรือสื่อบันเทิง แล้วหลงคิดไปว่า วิชาของไทยเป็นเลิศที่สุดในโลก โดยเฉพาะมวยไทยโบราณ(ซึ่งตอนนั้น เราก็ไม่ได้เรียนจริงจังด้วย แค่ผิวเผิน)
อาจเรียกรวมๆได้ว่ามันคือคำว่า "เบียว" ที่เป็นที่นิยมในสมัยนี้แหละครับ
ในยามนั้นศรัทธาที่ขาดปัญญาทำให้ผมเชื่อมั่นมากเกินไป ผมคิดว่าวิชาของผมสุดยอดที่สุด แต่ต้องยอมรับว่าครูที่สอนผมนั้นท่านก็เป็นคนดีที่ได้คอนโทรลตัวผมไม่ให้ไปมีเรื่องมีราวกับใครไม่ให้ไปกระทำการหยาบช้าใส่ใคร ท่านคอยกำกับดูแลในสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอด
แต่ในใจของผมนั้น มีอัตตาอยู่พอควรเลยล่ะ
 
ในตอนนั้นผมถือว่าเป็นคนอนุรักษ์นิยมตัวพ่อเลยก็ว่าได้ อะไรของผมจะต้องเป็นไทยๆแทบทั้งหมด แล้วหลายครั้งที่ผมพยายามจะไปโน้มน้าวให้คนที่ไม่ได้มีความสนใจ เข้ามาอยู่ในจุดนี้ ด้วยคำกลวงๆว่าอนุรักษ์ แล้วจะยิ่งเดือดดาลทันทีที่เมื่อมีใครถามขึ้นมาว่ส "กระบี่กระบองเรียนไปทำไม" ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดเหมือนทุกวันนี้ ผมพยายามหาเหตุผลมาตอบร้อยแปดพันเก้า แล้วผมก็โทษคนอื่นไปทั่วว่าไม่รักวัฒนธรรมไทย ทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อ
ผมร่วมแสดงใน งานไหว้ครูมวยไทยโลก ปี2560ณ วัดหลังคาขาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปผมได้เห็นโลกมากขึ้น ผมได้เดินออกจากจุดเดิมที่ผมเคยอยู่ ถ้าเปรียบเป็นนิยายกำลังภายในก็อาจกล่าวได้ว่าผมได้ออกท่องยุทธภพมาระยะหนึ่ง ผมจึงได้ไปเห็นโลกกว้าง ได้พบเจอกับสิ่งต่างๆที่ก็สวยงามและทรงประสิทธิภาพ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสิ่งเดิมที่เรามี
เมื่อเรามองดูดีๆแล้ว คนที่เรียนวิชาเหล่านี้ก็ยังถือว่ามีอยู่ไม่ได้สูญพันธุ์ไปไหน และยังคงมีเด็กรุ่นใหม่ๆให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้วิชาเหล่านี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่ชาวต่างชาติ ซึ่งถ้าเรามองกันดูดีๆแล้ว
บางทีมันก็ไม่ผิดนักที่ว่าชาวต่างชาติสามารถมาเป็นผู้สืบทอดต่อได้เพราะมันเป็นเครื่องยืนยันว่าวิชาเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติที่จะต้องหึงหวงแต่เป็นสิ่งที่ใครก็ได้สามารถเข้าถึงดังนั้นวิชาเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปไหนถ้าเรายึดติดที่ว่าต้องเป็นคนไทยคนไทยเท่านั้นมันก็จะยังอยู่ในกรอบของชาติพันธุ์และจะแบ่งแยกกันไปไม่จบไม่สิ้น
ชาวต่างชาติทั้งหลายที่มาเรียนนั้นเมื่อเขาเรียนไปแล้วเขาก็พูดกันต่อว่าฉันเรียนมวยไทยฉันเรียนดาบไทยผู้ที่ได้ยินก็จะรู้ว่าสิ่งสิ่งนี้มาจากไทยก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเลย เขาจะยิ่งให้ความสนใจศิลปะไทยมากขึ้น ฉะนั้นในแง่ของผู้สืบทอดผมมองว่าเป็นใครก็ได้ครับไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทย ขอแค่มีการขัดเกลาจิตใจ อบรมบ่มเพาะพวกเขาให้อยู่ในทางที่ถูกควร
ผมเชื่อว่าชาวต่างชาติหลายคนไม่ค่อยหยิ่งทะนงโอ้อวดครับ ยิ่งในปัจจุบัน ชาวต่างชาติจำนวนมากผมเห็นว่าพวกเขาเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง หลายท่านที่มาร่ำเรียนก็ได้กลับไปเผยแพร่วิชา ณ ประเทศของเขา นี่จึงถือเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ เพราะมันจะตอกย้ำว่าสิ่งนี้ไม่ใช่แค่มรดกของคนไทย แต่เป็นมรดกของโลก คนเราเกิดมาไม่เกินร้อยปีก็ตายแล้ว แต่วิชามันสืบต่อไปได้เรื่อยๆและจะแตกแขนงไปได้อีกเหมือนกับรากไม้
ผมและเพื่อนซ้อมการ"เดินแปลง" ปี2560 ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จากในตอนนั้นที่ผมมัวแต่จะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามา Defense วันนี้ผมได้เปลี่ยนไปและได้ไปหาต้นตอของคำถามเหล่านั้นว่าเพราะอะไรผู้ถามจึงได้ถามออกมา แล้วผมก็พบคำตอบ
สิ่งนั้นคือระบบการศึกษาไทย การมีบรรจุวิชากระบี่กระบองในโรงเรียนนั้นไม่ตอบโจทย์ยุคสมัยนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะ การฝึกฝนสิ่งใดก็ตามมันย่อมต้องใช้เวลามากกว่า 1 คาบต่อสัปดาห์ในการฝึกถึงจะนำไปใช้ได้ แต่กระบี่กระบองตามโรงเรียนนั้นขาดบุคลากรที่มีความรู้จริงๆ เวลาในกรอบของการศึกษามีน้อยไม่สามารถบีบอัดวิชาทั้งหมดให้มาสอนได้
จึงได้เหลืออยู่แค่รูปแบบของการรำกระบี่กระบองที่ไร้ประโยชน์ในแง่ของการนำไปประยุกต์ใช้(เพราะหากคุณไม่ใช่นักดาบ คุณไม่มีทางแกะท่ารำมาใช้สู้ได้แน่นอน) เพราะฉะนั้นผมเองก็ไม่แปลกใจครับว่าทำไมเขาถึงได้ถามกันขึ้นมา
ซึ่งถ้าหากว่าเราทำการตัดสิ่งนี้ออกไปจากตาราง แล้วจัดตั้งชมรมขึ้นมาเฉพาะทางให้เป็นกิจจะลักษณะ ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็นการอนุรักษ์ที่ถูกต้องมากกว่าจะพยายามดึงทุกๆคนให้มาทำนะครับ เพราะสิ่งนี้จะดึงแต่คนที่สนใจจริงๆเข้ามา
ผมเห็นหลายความคิดซึ่งผมเข้าใจเจตนาของท่านเหล่านั้นเป็นอย่างดีว่าเขาต้องการที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ก็คือการพยายามให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ได้ศึกษาสิ่งนี้ แต่หลายครั้งมันออกมาในรูปแบบของการพูดถึงผู้ที่ไม่ได้มีความสนใจในเส้นทางนี้ในทางที่ไม่ดี
ซึ่งถ้าเรามองมุมกลับแล้วลองเป็นตัวเราเองถูกบังคับให้ไปทำในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ไม่อยากจะทำ ใช่ไหมล่ะครับ
แทนที่จะพยายามนำเสื้อตัวนี้ไปใส่ให้คนอื่น เราควรเอาเสื้อตัวนี้ไปให้คนที่เขามีขนาดตัวที่พอดีกับเสื้อใส่มันจะไม่ดีกว่าหรือครับ
ตอนผมม. 6 ผมเคยพูดว่า"วิชานี้จักไม่ตายไปพร้อมกับตัวกู" และทุกวันนี้ผมก็ยังเชื่อว่ามันจะยังคงดำรงอยู่ได้ครับต่อให้ผ่านไปอีกเป็นร้อยปี ถ้าหากว่าสิ่งนี้ได้ถูกทำให้ยังคงดำรงอยู่ได้ด้วยคุณค่าในตัว ด้วยความเป็น ศิลปะ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีคนมากมายที่นำสิ่งนี้ไปสร้างมูลค่าได้ หลายท่านเป็นที่เคารพของผู้คนด้วยครับ พวกเขาฝึกในหนทางที่ถูกที่ควร
พวกเขามี passion และวินัย และที่สำคัญพวกเขาไม่สนใจว่าใครจะด้อยค่าพวกเขายังไง พวกเขาใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำเป็นอาชีพได้ เขาสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปต่อยอดได้
และถ้าถามว่าทุกวันนี้ ผมคิดอย่างไรกับวิชานี้ ผมคิดว่าสิ่งนี้ เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีคุณค่าในตัวอยู่แล้ว อยู่ที่ผู้ใช้จะยกระดับจนมีมูลค่า หรือจะพาดิ่งลงเหวด้วยการกระทำของตนครับ
โฆษณา