21 มี.ค. เวลา 01:59 • ความคิดเห็น
จิตแต่ละดวง เค้ามีกายเป็นมนุษย์ รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน ถ่อเวรกรรมมาไม่เหมือนกัน มีความชอบ ไม่ชอบ แตกต่างกันด้วยนิสัยไม่เหมือนกัน มีอารมณ์ปรุงแต่งนึกคิดไม่เหมือนกัน มีความอยาก ทะเยอทะยาน ความสนใจไม่หมือนกัน มีความทุกข์ มีภาระแบกกาย สังขารได้ไม่นาน มีกิริยากายวาจาใจเป็นมนุษย์ได้ไม่นาน ยึดรูปที่ไม่เที่ยงได้ไม่นาน รูปนี้รูปร่างนี้ก็หายไปจากโลก เป็นอนัตตา .หายตัวได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของรูปร่างที่อาศัย .ไม่มีใครเห็นรูปร่างนี้อีกเลย..ไม่รู้ว่า ..จิตไม่มีกาย ..จะไปสถิตย์ ณ สถานที่ใด..
ช่วงที่ร่างกายแข็งแรงที่สุด ก็วัยหนุ่มสาว จากนั้น ก็เสื่อมถอย อยู่ไปกินกับนอน เพลิดเพลินในสิ่งที่โลก มีให้เห็นสัมผัสรับรู้ ก็เพลิดเพลินไปจน หมดลม แล้วตายไป เกิดมาแต่ละครั้งก็วนเวียนอยู่กับโลภโกรธหลง ไม่ได้หนีไปไหนเลย วนเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างนี้ เมื่อไหร่จะพ้นทุกข์
มีพระท่านบอกว่า ..จิตที่อยากจะพ้นทุกข์ ก็ต้องมีความเพียรพยายาม ที่จะกระทำให้พ้นทุกข์ อยากพ้นทุกข์ แต่จมอยู่กับโลภโกรธหลง แล้วมันจะไปพ้นทุกข์ตรงไหน อยากจะเรียนรู้เรื่องต่างๆ ทีทำ..สิ่งที่เราเป็นทุกข์แต่ไม่ยอมเรียนรู้ แล้วมันจะรู้ตรงไหน อยากจะมีปัญญา ที่เค้าชี้ไว้ ให้เห็นว่า ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆมาแทรกแซงภายในจิต ปัญญามันก็เกิด
เราหยุดแล้ว ..หยุดที่จะเดินไปตามอารมณ์ที่พาไป หยุดกิริยาท่าทางที่อารมณ์ปรุงแต่งกายวาจาใจ ..จึงเอากายมาเดิน มา ยืน นอน ..ไม่นึกคิดอะไรพัวพัน ให้อารมณ์แทรกแซงในกายในจิต
เราเพียรพยายาม .. หยุดกิริยากายวาจาใจที่อารมณ์ปรุงแต่ง มาเดินมายืนมานั่งมานอน ..ไม่นึกคิดอะไร ..ในเรื่องราวที่โลกมีให้ ยืนเดินนั่งนอน..หยุดเรื่องราว..ของอารมณ์โลภโกรธหลง ..จิตเราก็เหลือแต่จิต ..อาศัยกาย ..กายก็เป็นสุข จิตก็เป็นสุข กายมันแก่เจ็บตาย ..ก็เป็นเรื่องของกาย จิตเราไม่ไปยึดถือเรือนกาย เราก็เพียรพยายามปล่อยวางความยึดถือกายออกไป . กายทุกข์ กายเป็นมายา จิตเราก็เฉย ..ปลดปล่อยความยึดถือออกไป
โฆษณา