-กาากลับมาคราวนี้มาพร้อมกับการเล่นคอนเซ็ปท์ที่เป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุดเท่า Ariana เคยทำมาเลยครับ แถมเป็นการย่อยหนัง high concept ออกมาได้เข้าใจง่ายโดยที่ไม่จำเป็นต้องดูหนัง คุณก็เก็ตคอนเซ็ปท์ได้ไม่ยาก เพียงแค่ทำการบ้านนิดหน่อยด้วยการดูเอ็มวี we can’t be friends (wait for your love) เพราะในเอ็มวีแทบจะ tribute ฉากสำคัญของหนังมาพอสมควร
-ในอินโทร (end of the world) สาวอาริได้มีการตั้งข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่า เป็นการเลือกที่ถูกที่ควรหรือไม่? เป็นการเปิดอัลบั้มในสไตล์ดุ่มๆอันแสนคุ้นเคย ใน era ใหม่ที่เพิ่มเติมด้วยความครุ่นคิด และ self doubt
เป็นการ keep it simple ที่ดันสอดรับกับอินโทรได้อย่างลงล็อคและมีแนวโน้มซื้อใจตั้งแต่แรกฟังด้วยความง่ายเข้าสู้นี่แหละ don’t wanna break up again ก็รับไม้ต่อจาก bye ที่ยังคงสภาวะทำใจไม่ได้ที่เพิ่มเติมด้วยการถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่ต้องทำให้ประสาทเสีย
-เพลงนอกสายตาที่ผมดันชื่นชอบเป็นพิเศษขอยกให้ i wish i hated you ใส่บัลลาดหนักแน่น ไร้ซึ่งความโฉ่งฉ่างแห่งการเค้นเสียงสูง หันมาเล่นกับความนิ่งเงียบที่ค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ที่ได้จบลงไปแล้ว แต่ก็ยังมูฟออนไม่ได้โดยสนิทใจด้วยความคิดที่ว่า “เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเสียทีเดียว”
-ความพยายามในการรังสรรค์เพลงคู่พี่สาวน้องสาวก็มีให้เห็นเหมือนกันในเพลง true story และ the boy is mine ที่เป็นการตอบโต้(โดยนัย)ถึงข่าวลือข่าวฉาวที่เธอเป็นคนที่โดนสื่อใส่ไข่ว่า “ผู้สาวทำบ้านแตก” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยเพลงแรกมาในสไตล์ถมึงทึงกับบีทสุดรัดติ้ว ถ้าอยากให้เป็นนางมารร้ายก็จัดมาได้เลย ทั้งๆที่มันไม่จริง ส่วนเพลงที่สองออกแบบมาเพื่อเป็น bad girl anthem ที่มาในแนวทางสุดเฟียสที่สอดรับยุคสมัยของ TikTok ที่จำเป็นต้องมีลีลาท่วงท่า
-we can’t be friends (wait for your love) ซิงเกิ้ลที่สองไม่ได้มีหน้าที่แค่การเป็นวลีปลอบใจหนุ่มจืดหรือสาวจืดที่ข้ามผ่านเฟรนด์โซนไม่ได้ หรือความรักที่ไม่ได้ไปต่อจบลงที่สัญญาหย่าร้าง แต่(โดยนัย)แล้วสาวอาริพยายามส่งสาสน์ถึง Arianator ที่เคยตีตัวออกห่าง รับไม่ได้กับการที่เธอตกเป็นข่าว “ผู้สาวทำบ้านแตก” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ให้ทำความเข้าใจเสียใหม่แล้วกลับเข้าด้อมอีกครั้ง บรรยากาศบีทเพลงที่ค่อนข้างขมุกขมัว ผมก็แอบสัมผัสได้ถึงพลังงานความตรอมตรมในเพลงนี้พอสมควร