26 มี.ค. เวลา 16:22 • กีฬา
ราชมังคลากีฬาสถาน

Caption: - ราชมัง

แม้จะเพิ่งกระซวกแบ่งแต้ม
กลับมาจากแดนกิมจิได้อย่างน่าภูมิใจ
แต่เนื้อแท้ของคนดูบอลด้วยกัน
เราต่างรู้ดีว่าเกมเหย้านัดนี้
จะยากกว่าขึ้นเดิมมากหลายเท่า
เพราะเกาหลีใต้จะมาแบบเน้นมากขึ้น
ไม่ปล่อยให้ซ้ำรอยแบบเดิมแน่
และผลการแข่งขันก็เป็นเช่นนั้นจริง
ซึ่งหากมองลึกลงไปในรายละเอียด
ก็จะเห็นถึงความต่างชั้นของคุณภาพ
ที่ยังห่างไกลกันอยู่อีกมากมาย
สังเกตได้ชัดเจนระหว่างทาง
.
.
.
1. ครึ่งแรก “ช่องว่างของความเด็ดขาด”
- ก่อนเกมผลยังแอบทำใจว่าเกาหลีจะเร่งเกมบุกบดขยี้เราตั้งแต่นาทีแรกเลย แต่พอเริ่มมาไม่เป็นอย่างนั้น ภาพจากเกมเยือนนัดก่อนลอยมา เราเริ่มมาได้ดี บุกกดดันเขาได้แถมเกือบจบได้ด้วย จากจังหวะที่ “เช็ก สุภโชก” เลี้ยงไลน์ได้ดี ไม่ล้ำหน้า ก่อนจะตวัดรีบยิงข้ามคานออกไป น่าเสียดายมากๆ ถ้ารู้ว่านั่นจะเป็นหนึ่งในโอกาสทองไม่กี่ครั้งที่เราจะดับลมหายใจทัพโสมขาวได้
- เพราะหลังจากนั้น ยิ่งเล่นเกาหลียิ่งโชว์ “คลาส” ของความเป็นทีมระดับโลก ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุปรอทแตก พวกเขากลับเล่นอย่างใจเย็น ดูจะเน้นรับ ค่อยๆ เคาะมากกว่า ถ้าเทียบจากเกมแรกคือเล่นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเน้นกว่า บอล transition จากรับเป็นรุกก็ยังน่ากลัว ส่งสัญญาณเตือนมาตั้งแต่จังหวะจ่ายทะลุช่องให้ “Son” หลุด ดีว่า “เชน สุพรรณ” ยังบล็อคได้ทันหวุดหวิด
แต่ทีมเยือนก็ยังเล่นตามเกมของตัวเองต่อ อาศัยการต่อบอลไม่กี่จังหวะก็แกะเพรสและลุ้นเข้าทำได้อีก บวกกับแดนกลางเราสู้ไม่ได้ ลอยสูงจัด กลายเป็นเปิดพื้นที่ให้ “Lee Kang-in” กลางรุกและปีกขวาดีกรีแชมป์ลีกเอิงจาก P$G ที่นัดนี้สตาร์ทตัวจริง แทงทะลุให้ “Cho Gue-sung” (หรือนูนเญซเกาหลี ฮ่าา) วิ่งฉีกไปสุดเส้น หนีทั้ง “ไมค์ ปฏิวัติ” และเชน ก่อนจะจ่ายคัตแบ็คตามสูตร สุดทางที่ “อุ้ม ธีราทร” จะเซฟได้ทัน
เพราะ “L.Jae-sung” ตามหายใจรดต้นคอพร้อมสังหาร ยังไงก็โดนครับ ขึ้นนำเร็วตั้งแต่ น.19เสียหายกว่านั้นคือต้องสังเวยโก๋อุ้มไปจากอาการเจ็บจังหวะนี้ แล้วต้องโยก “มิคเกลสัน” ไปแบ็คซ้ายแทน พร้อมให้ “เซฟ ศุภนันท์” ลงมายืนขวา รับมือกัปตัน Son ต่อ
- พอโดนลูกแรกเท่านั้น กลายเป็นไทยเราช็อตไปดื้อๆ ต่อบอลไม่ติด บุกไม่ได้ ดูกดดันกันไปหมด เกมรุกเหมือนโดนกระชากปลั๊กหลุด หายไปดื้อๆ อยู่นานพอควร ก่อนจะมีลุ้นบ้างตอน “โย่ง พรรษา” โหม่งหลุดไปนิดเดียว ซึ่งเกมนี้เจ้าตัวก็ฟอร์มดีเลยนะ เก็บได้หลายจังหวะ ชิงเหลี่ยมกับ Cho Gue-sung ที่สูงใหญ่พอกันได้ดี จากนั้นก็เป็นจังหวะของ “เท่ เจริญศักดิ์” ที่เกาหลีพลาดให้แล้ว ได้ยิงเหน่งๆ แต่ตะบันไปตรงตัวโกล ติดเซฟไปแบบน่าเสียดายสุด
เข้าใจที่คำว่า “ถ้า” ไม่มีอยู่จริง โดยเฉพาะในโลกลูกหนัง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้า 2 จังหวะจากเช็กและเท่ เราสามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ จากช่วงแรกที่โอกาสสับไกมีพอกันสองฝั่ง เกมคงเปลี่ยนไปจากนี้มากแน่ๆ
- ที่เหลือกลายเป็นไทยเราเริ่มส่งสัญญาณไม่ดีออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ “นิว พีรดล” ห้องเครื่องบุรีรัมย์มาเจ็บไปอีกคน พร้อมกับที่เกาหลีปิดเกมโต้กลับเราอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สังเกตจังหวะเราได้บอลทีเขาถึงตัวเลย ไม่ปล่อยให้พลิกเล่นง่ายๆ กลายเป็นเกมที่ความกดดันกลับมาหาเราเองบ้าง อึดอัด ตีบตันไปหมด
2. ครึ่งหลัง “หนังที่ฉายภาพความเป็นจริง”
- เริ่มมาช่วงต้น ไทยเราได้โอกาสบ้างแล้ว จากจังหวะที่ “เท่ เจริญศักดิ์” ได้บอลทางริมเส้น มีพื้นที่เปิดกว้าง (แม้จะไม่กี่วิ) แต่กลับฝืนยิงบดๆ ทั้งที่ “อาร์ม ศุกชัย” กางมุ้งรออยู่ เป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่ไทยเรายังขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย
- เมื่อมีจังหวะจบแล้วทำไม่ได้ ก็กลายเป็นเข้าทางเกาหลีต่อ เล่นรัดกุม ไม่เร่ง จนมานำ 0-2 น. 54 จังหวะที่ “Son” ใช้ความเร็วเลี้ยงจี้ทางริมเส้น แล้วสับขาหลอกเซฟ ศุภนันนท์ ก่อนจะตวัดยิงยัด อัดใส่ไมค์ ปฏิวัติเด้งเข้าไป
นับเป็นเครื่องหมายการค้าที่เราต่างเห็นกันบ่อยๆ ในเวทีพรีเมียร์ลีกกับ Tottenham พร้อมสวมกอดกับ “Lee Kang-in” รุ่นน้อง สื่อให้เห็นว่าพวกเขาจบประเด็นดราม่ากันในเอเชียนคัพกันอย่างชัดเจน เคลียร์กันอย่างลูกผู้ชายแล้วก็ไปต่ออย่างมืออาชีพ
- จากนั้นต้องบอกว่าครึ่งหลังเป็นเกมของแข้งพลังโสมจริงๆ วิ่งไม่มีหมด บดเข้าใส่ ถึงบอลตลอด อย่างที่บอกข้างต้นว่าไม่เปิดโอกาสให้เราพลิก คิด หรือสร้างสรรค์โอกาส เพรสตั้งแต่แดนกลางยันแดนบน กลายเป็นกลางช้างศึกเชื่อมบอลไม่ได้ ต้องส่งคืนหลังแล้วสาดยาว ไม่ก็โดนบีบให้ออกริมเส้นแล้วครอสเข้ามา ซึ่งก็โดนเก็บกินเรียบ ด้วยรูปร่างสรีระที่หนากว่า ใหญ่กว่า
หรือพอเวลามีหวังสักหน่อย หากคิดช้าไปแม้แต่วินาทีเดียว เราก็จะเห็นกำแพงสีแดงตั้งโซนล้อมไว้หมด ยืนกันแน่นมาก แทบไม่มีช่องให้เข้าทำ พอเข้าไปได้ก็โดดนบีบต่อ พลิกเล่นไม่ได้ เรียกได้ว่าปิดตายเกมรุก พร้อมทดสอบเกมรับเราตลอด เผลอเมื่อไหร่เตรียมโดนลงโทษ เริ่มจากจังหวะ Son เลี้ยงจี้หักเข้าในแล้วตะบันหลุดกรอบ จนมาถึงประตู 0-3 จาก “Park Jin-seob” ที่ดับความหวังทุกอย่าง ใน น.82 ต้องติงว่าลูกนี้ประกบห่าง เราปล่อยเขาโหม่งชง แล้วยิงนิ่มๆ หมดสิทธิ์ด้วยประการทั้งปวง
โดยสรุปต้องยอมรับจริงๆ ครับว่า
เกาหลีใต้มาดีกว่าเกมแรก
และเหนือชั้นกว่าเรามากๆ
อย่างที่เป็นตามเนื้อผ้า
ทั้งขุมกำลัง ความสามารถเฉพาะตัว
รวมถึงความฟิต ชนิดที่อากาศร้อน
ไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้
ได้ 0-3 แล้วก็ยังจะบวก 0-4 ต่อ
เอาจริงๆ ไม่เกี่ยวกับอากาศ
หรือการได้เล่นในบ้านหรอก
เพราะคุณภาพเขาดีกว่าแต่แรกอยู่แล้ว
(แม้จะแอบเสียดายที่เราเสียประตูง่ายไปหน่อย)
ไม่ใช่ว่าผลเสมอในเกมนัดแรก
จะเป็นแค่ฝันหรือฟลุ๊คอะไรหรอก
มันคือความจริงที่น่าภูมิใจเลยล่ะครับ
ว่าเราช่วยกันเล่น ช่วยกันไล่
อาศัยจังหวะชิงเหลี่ยมจนทำได้
บีบให้เกาหลียิ่งเล่นยิ่งกดดันเองไปหมด
เพียงแค่เกมนี้พวกเขา “คืนฟอร์ม”
เข้าจังหวะ เล่นกันแบบเขี้ยวจัดกว่าเกมแรก
เป็นฟอร์มตามแบบฉบับ
ของทีมระดับโลกอย่างแท้จริงเท่านั้นเลย
สิ่งที่พอจะปลอบประโลมใจแฟนบอลเราๆ
คืออย่างน้อยไทยก็มีจังหวะสู้ได้
มีโอกาสจบสกอร์ บุกเข้ากดดันเขาบ้าง
และการที่วิ่งกันเยอะมากๆ
จนสีหน้าออกอย่างเห็นได้ชัด
เราเลยรู้ว่าทุกคนพยายามสู้เต็มที่แล้วจริงๆ
รวมถึงโมเมนต์น่ารักๆ ที่ “เมสซี่เจ”
รีบเข้าไปช่วยห้ามเลือดให้ “มิคเกลสัน”
จังหวะโดน “Kim Min-jae” ปะทะหนัก
จนโดนท่อข้างสนาม เลือดอาบแขน
ตรงนี้ยังแสดงให้เห็นถึงสปิริตและความกลมเกลียว
ของแข้งช้างศึกที่ยังดูแลกันดีมากๆ
นอกจากนั้นคือรอยยิ้มของ “ลิซ่า BLACKPINK”
ที่โปรยลงมาสร้างขวัญกำลังใจให้ทุกคน
ทำเอาหน้าฟีดบอลไทยวันนี้
มีโพสต์ของเธอแทรกเต็มไปหมด
และที่ขาดไม่ได้คือแฟนบอลช้างศึก
ถึง 45,458 ชีวิตที่มาให้กำลังใจกันติดขอบ
เป็นปรากฏการณ์บอลไทยฟีเวอร์
ที่เราไม่ได้เห็นมานานแล้วตั้งแต่ยุคพี่โก้
ก็นับเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเกม
อย่างไรก็ตาม ไทยเราก็ยังต้องทำงานหนักต่อไป
เกมที่เหลือกับจีนและสิงคโปร์มีแต่ต้อง
เค้นฟอร์มที่ดีที่สุดเพื่อชัยขนะสถานเดียว
ยังไงก็จะเป็นกำลังใจให้พวกคุณเสมอนะช้างศึก,,, 🇹🇭🇰🇷⚽
โฆษณา