13 เม.ย. 2024 เวลา 07:00 • ธุรกิจ

ไปรษณีย์ไทย ‘รอดตาย’ เพราะทำทุกอย่าง ตั้งแต่ขายข้าวสารยันเช่าพระเครื่อง

ไม่แข่งในเกมราคา ก็อยู่รอดจนพลิกทำกำไรได้! เปิดวิสัยทัศน์ “ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” หลังคุมหางเสือ “ไปรษณีย์ไทย” นาน 3 ปี ชี้ ไร้ “Regulator” เป็นจุดบอดขนส่งไทย มองระยะยาวคือสัญญาณอันตราย ปล่อยต่างชาติควบคุม อีคอมเมิร์ซกินรวบ เสี่ยงกระทบความมั่นคงระดับชาติ
1
ธุรกิจขนส่งอยู่ในน่านน้ำสีแดงที่เชี่ยวกราก จนการสร้างฐานลูกค้าผ่านแบรนดิ้งเป็นไปได้ยาก หลายเจ้าจึงเลือกใช้วิธี “ดั๊มป์ราคา” ใครเสนอตัวเลขที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคได้ เจ้านั้นก็เป็น “ผู้ถูกเลือก” อย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซโตวันโตคืน ก็ทำให้บรรดาโลจิสติกส์ที่เปรียบดั่งธุรกิจ “บ้านพี่เมืองน้อง” เร่งออกโปรโมชัน-แข่งขันกันดุเดือดแบบไม่มีใครยอมใครทั้งสิ้น
ทว่า หลังจากเงินสดถูกเผาติดต่อกันนานหลายปี กลับมีธุรกิจขนส่งเก่าแก่ที่ประกาศตัวตั้งแต่สมรภูมินี้ยังฝุ่นตลบว่า “ไม่ขอลงเล่นในเกมราคา” และสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้สำเร็จในปี 2566 หลังจากขาดทุน “หลักพันล้านบาท” ต่อเนื่อง 2 ปีเต็ม ขณะเดียวกันเสียงจากผู้บริโภคในสื่อโซเชียล มีเดีย ก็ยังกล่าวถึงค่ายสีขาว-แดงแห่งนี้ไปในทางบวกมากขึ้นด้วย
1
หากย้อนดูตัวเลขผลประกอบการ “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” จะพบว่า ปี 2564 และ 2565 ทั้งรายได้รวม และกำไร-ขาดทุนสุทธิ ออกอาการไม่สู้ดีนัก ตัวเลขรายได้เฉลี่ยลดลงจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ (ปี 2560 ถึง 2563) จากที่เคยแตะ “สองหมื่นล้านบาท” รายได้ของไปรษณีย์ไทยลดลงอยู่ที่ “19,546 ล้านบาท” ทั้งยังขาดทุนกว่า “3,018 ล้านบาท” ในปี 2565 ด้วย
แต่หลังจากประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก ล่าสุด “ดนันท์” เปิดเผยผลประกอบการปี 2566 ออกมาว่า รายได้สุทธิในปีที่แล้วอยู่ที่ “20,934 ล้านบาท” แม้จะมีส่วนต่างจากปีก่อนหน้าไม่มาก แต่กลับพลิกทำกำไรได้ “78 ล้านบาท” ผู้บริหารไปรษณีย์ไทยระบุว่า ปัจจัยสำคัญเกิดจากการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งเรื่องบุคลากร ต้นทุนการขาย ต้นทุนการขนส่ง ภาพรวมสามารถลดต้นทุนไปได้ 20% กำไรที่เกิดขึ้นในปี 2566 จึงมีที่มาที่ไปทั้งหมด
ธุรกิจขนส่งยังคงเป็นรายได้หลักของ “ไปรษณีย์ไทย” แต่ที่น่าจับตามองมากไปกว่านั้น คือการสยายปีกฟาก “ธุรกิจรีเทล” ที่เติบโตจากปีก่อนหน้ากว่า 35% ผู้บริหารไปรษณีย์ไทยยืนยันว่า ที่ผ่านมาแม้ไม่ได้ลงสนาม “Price War” แต่บริษัทไม่เคยอยู่เฉย นิ่งดูดาย เมื่อประกาศกร้าวไม่เผาเงิน ไม่กดราคาสู้ เป้าหมายจึงมีสองส่วน คือการลดต้นทุน และเพิ่มช่องทางหารายได้จากธุรกิจค้าปลีก ที่มีจุดเริ่มต้นจากการฝากขายพระเครื่อง ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย ราวสิบกว่าปีที่แล้ว
1
แรกเริ่มเดิมที ปีกรีเทลของไปรษณีย์ไทยเกิดจากชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงนำ “พระเครื่อง” มาฝากขาย เชื่อว่า หากต้องการพระเครื่องที่เป็นของแท้ต้องมาเช่าที่นี่เท่านั้น ไม่นานก็เริ่มมีชาวบ้านนำสินค้าประเภทอื่นๆ มาฝากขายอีกหลายรายการ อาทิ ข้าวสาร ผลไม้ ของกินของใช้ภายในบ้าน ฯลฯ นานวันเข้าผู้บริหารเริ่มมองเห็นลู่ทางในการขยับขยายธุรกิจ จากพื้นที่ออฟไลน์ สู่การต่อยอดเป็นร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สินค้าส่วนใหญ่เป็นการรับซื้อจากผู้ประกอบการในชุมชนมาวางขายทั้งหมด
1
สำหรับโปรเจกต์ตั้งไข่ของธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ “อร่อยทั่วไทย” ในปี 2552 หากอยากกินของอร่อยจังหวัดไหน ต้องมาสั่งกับ “ไปรษณีย์ไทย” เท่านั้น โดยมี “บุรุษไปรษณีย์” เป็นคีย์แมนคนสำคัญ เพราะรู้จักและคุ้นเคยทั้งกับพ่อแม่พี่น้องในชุมชน รวมถึงของดี ของอร่อย ในพื้นที่ดังกล่าว อาทิเช่น อยากกินแหนมเนือง ต้องซื้อที่จังหวัดอุดรธานี อยากกินไส้อั่ว ต้องสั่งจากร้านวนัสนันท์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
นอกจากจะแข่งขันกันเองแล้ว ระยะหลังมานี้ธุรกิจขนส่งยังเป็นเกมที่ซับซ้อนมากขึ้น จากการที่ “อีคอมเมิร์ซ” กระโดดลงมา “กินรวบ” ตั้งแต่การเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายจนถึงธุรกิจโลจิสติกส์ ผู้บริหารไปรษณีย์ไทยให้ความเห็นถึงกรณีนี้ว่า ตนไม่ได้ติดใจที่เจ้าของแพลตฟอร์มทำธุรกิจขนส่งเอง แต่ปัญหาคือเจ้าของชิ้นงานบนแพลตฟอร์มอย่างร้านค้า หรือแม้กระทั่งลูกค้าที่สั่งซื้อของกลับไม่มีโอกาสเลือกขนส่งได้เอง ทุกอย่างถูกควบคุมโดยแพลตฟอร์มทั้งหมด
“ถามว่า เป็นธรรมหรือไม่ ผมพูดเลยไม่เป็นธรรม เรามีลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆ ที่ขายของผ่านอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม และต้องการใช้บริการไปรษณีย์ไทย แต่อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มไม่เปิดให้เลือก ซึ่งตอนนี้เรากำลังเจรจาอยู่ ไปรษณีย์ไทยจะแข่งขัน จะดีมากขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าในอุตสาหกรรมดูแลกันแบบนี้มันก็ไม่ส่งผลดีกับเรา ผู้บริโภคที่อยากจะใช้ของมีคุณภาพก็โดนกีดกันซึ่งก็ไม่เป็นธรรมกับเขา อีคอมเมิร์ซที่เข้ามาตอนนี้ก็ไม่มีใครมาควบคุม ผมขอแค่ปฏิบัติกับเราแบบแฟร์ๆ ก็พอ”
“ดนันท์” ระบุว่า การแข่งขันที่ดุเดือดเช่นนี้ มาจากการตั้งตัวชี้วัด “KPI” ที่สูงเกินจริง อาทิ คืนสินค้าได้ไม่จำกัดครั้ง ลูกค้าไม่พอใจสินค้า สามารถส่งคืนได้ภายใน 7 วัน เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นต้นทุนที่ขนส่งต้องแบกรับเอง ซึ่งไปรษณีย์ไทยก็ได้มีการติดต่อเข้าพูดคุยกับอีคอมเมิร์ซทั้ง “สีส้ม” และ “สีน้ำเงิน” เรียบร้อยแล้ว เนื่องจาก “วอลุ่ม” ที่ลดลงเรื่องๆ จากการที่ทั้งสองค่ายมีบริการขนส่งเป็นของตัวเอง จนถึงขณะนี้ สัดส่วนการใช้บริการไปรษณีย์ไทยจากทั้งสองแพลตฟอร์มลดลงไปแล้วกว่า 50%
“สิ่งที่ผมต้องการ คือเรื่อง “Regulator” อยากให้ออกมาคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดกติกาในการแข่งขัน การให้บริการ ถามว่า ทุกวันนี้เวลาผู้บริโภคประสบปัญหาของอยู่ในคลังไม่มีใครไปส่ง คลังระเบิดมีใครช่วยเหลือเขาบ้าง บทลงโทษไม่มี ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกเรื่อยๆ ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับโทรคมนาคมโดนถอนใบอนุญาตไปแล้ว”
1
โฆษณา