28 มี.ค. เวลา 04:23 • ความคิดเห็น

มายาคติของผู้บริหารคนเก่ง

บรรยากาศตอนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทใหญ่หรือบริษัทดาวรุ่งกำลังโตโดยเฉพาะยิ่งได้คุมกำลังสำคัญ ดูแลงบประมาณเยอะ มีลูกน้องเพียบนั้น มันชวนครึ้มอกครึ้มใจมากๆเลยนะครับ เราจะรู้สึกว่าตัวเองนี่บริษัทขาดไม่ได้แน่ๆ พูดอะไรก็ถูกไปหมด มีแต่คนชม คู่ค้าก็มาพินอบพิเทา พูดแรงๆอะไรนี่คนกลัวหัวหดรีบทำตามทันที
ให้สัมภาษณ์ทีก็ได้ลงหน้าตัวเองเต็มๆ พาดหัวว่าผู้บริหารคนเก่งของบริษัทโน้นบริษัทนี้ ไปไหนคนก็พูดถึง ได้รับเชิญไปขึ้นเวทีอยู่เนืองๆ ลงมามีคนขอถ่ายรูปด้วย มีคนพูดทีเล่นทีจริงว่าอยากชวนมาทำงานด้วยจังเลยอยู่ตลอดเวลา สาวกก็มาเม้นมาไลค์เต็มไปหมดในฟีด
นี่เราทำไมเก่งอะไรแบบนี้หนอ…
แต่พอต้องออกจากตำแหน่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัว ย้ายงาน ออกมาทำธุรกิจเองหรือแม้แต่ถึงเวลาเกษียณ ออกมาได้ซักพัก คนที่เคยห้อมล้อมก็เริ่มหาย แฟนคลับก็เริ่มจาง คู่ค้าที่มายกยอปอปั้นก็ไปหาคนใหม่ที่มาแทนเรา งานที่คิดว่าบริษัทขาดเราไม่ได้ แป๊บเดียวก็มีคนทำได้แทนอย่างสบายๆ คนที่เคยเอ่ยปากว่าจะชวนทำงาน ชวนไปเป็นที่ปรึกษาก็หาย
ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจว่าทำไมคนเราถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ก็จะเริ่มมา งานใหม่ที่ทำก็ไม่ได้ง่ายเหมือนก่อน ยิ่งมีคนเข้าหูว่าเดี๋ยวนี้ตกต่ำก็ยิ่งหดหู่ สื่อสัมภาษณ์พอไม่มีตราบริษัทแปะบนหน้าเราก็ค่อยๆหาย พอไม่ได้ออกสื่อเหมือนเดิมแฟนคลับหายไปทีละคนสองคน อยากจะด่าจะบ่นไอ้คนพวกนี้จริงๆว่าไม่จริงใจ ทนไม่ไหวก็เขียนระบายยาวๆลงฟีดซะหน่อย ยิ่งเขียนคนยิ่งหาย จนไม่อยากออกไปไหนเพราะเจอคนก็คิดในใจว่าคงดูถูกคงหัวเราะเยาะเราในใจกันแน่ๆ
เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจจะคุ้นๆสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆเมื่อตอนที่ผมขึ้นถึงจุดบนสุดของผู้บริหารไทยที่ดีแทค บริษัทที่ในตอนนั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลาเพราะโทรคมนาคมกำลังบูม ผมเองก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่พลิกฟื้นดีแทคมาตลอดหลายปี เป็นคนออกสื่อในนามบริษัท ขึ้นเวทีในนามบริษัท ใครๆ ก็เขียนยกยอว่าเป็นเทพการตลาดในวัยที่ยังหนุ่มอยู่เลย
ความที่คิดว่าตัวเองนี่คือ one of a kind ทำการตลาดที่ดีแทคได้ก็น่าจะทำที่ไหนก็ได้ ทั้งตัวพองเต็มไปด้วยอีโก้ จนพาไปสู่การลาออกเพื่อไปสร้างตำนานตัวเองต่อ แต่ในที่สุดพอไปเจอโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีตราดีแทคปะหน้าก็แทบเอาตัวไม่รอด ย้ายงานก็ล้มเหลว ความรู้สึกโกรธแค้นและน้อยใจก็มาตามที่เล่า กว่าจะรวบรวมสติได้ก็โดนไปหลายขนานจนลมอีโก้ออกจากตัวหมดถึงเริ่มคิดได้จนค่อยๆตั้งหลักได้นับแต่นั้น
การที่ได้ถอดวิญญาณบริษัทออกจากร่างแล้วเหลือแค่ตัวเราจริงๆ ไม่มีเกราะ โล่ อาวุธของบริษัทติดตัวนั้น แม้ในช่วงแรกจะยากลำบากและล้มลุกเรียนรู้เป็นอย่างมาก แต่ทำให้เราได้เห็นได้ชัดมากๆ เลยว่าที่มีคนยกยอ ความรู้สึกว่าตัวเองใหญ่นั้น
ส่วนใหญ่เป็นเพราะตราบริษัทที่แปะอยู่บนหน้าผากเรา ผลงานที่เคยหลงว่าเราสำคัญก็เป็นผลงานของคนอื่นๆ เราแค่ได้มีโอกาสเกาะความสำเร็จนั้นและได้เป็นโฆษกออกหน้าเท่านั้นเอง แต่ไปหลงคิดว่ามันเป็นของเรา คู่ค้าที่มาพินอบพิเทา เขาก็ไม่ได้พินอบพิเทาเราแต่พินอบพิเทางบประมาณบริษัทที่ฝากเราดูแล ลูกน้องที่ยอมทำตามเรา ให้เราได้ดุด่าก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่เถียงเราซักคำ ไม่ใช่เพราะเราเก่งอะไร แต่เป็นเพราะตำแหน่งที่เรามานั่งชั่วคราวนั้นต่างหาก
1
นักข่าวที่มาสัมภาษณ์เราก็เพื่อเนื้อความของบริษัท ประเด็นของบริษัท ต่อให้มีชื่อเราปะอยู่ในนั้นก็ตาม พอเราออกมาแล้วเขาก็ต้องสัมภาษณ์โฆษกบริษัทคนต่อไปเป็นธรรมดา
ความรู้สึกที่ว่าเราสำคัญเสียเหลือเกิน ออกไปบริษัทกระทบแน่ก็ไม่จริง แป๊บเดียวเขาก็หาคนแทนได้เช่นกัน …
ความเข้าใจและความสามารถแยกแยะได้ว่าเราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แค่ได้ถืออาวุธวิเศษ อำนาจพิเศษบางอย่างที่บริษัทไว้ใจให้ถือชั่วคราวจึงเป็นความเข้าใจที่สำคัญมากๆสำหรับผู้บริหารระดับสูงหรือผู้มีอำนาจในมือทั้งหลาย เพื่อที่จะได้ไม่ช้ำใจหรือสร้างความน่าหมั่นไส้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องอันจะนำมาซึ่งผลลบเมื่อเราต้องคืนอำนาจนั้นไปไม่ว่าจะตั้งใจคืนหรือถูกบังคับให้คืน พอแยกแยะได้แล้ว ก็จะเห็นชัดๆ ว่าที่เหลืออยู่ก็จะเป็นเรื่องของเราเองและคนรอบตัวเท่านั้น
1
เรื่องเราเองก็คือการเตรียมพร้อมหลังจากต้องคืนอำนาจนั้นด้วยการที่พยายามเรียนรู้ ทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว humble กับโลกรอบตัว กับผู้คนที่ได้เจอ ระมัดระวังไม่ใช้อำนาจที่ไม่ใช่ของเรานั้นในทางที่ผิด ไม่โม้โอ้อวดถึงฤทธิ์ตัวเองให้คนหมั่นไส้ พูดน้อยแต่ทำมาก
ส่วนกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานก็คือการพยายามสร้างกัลยาณมิตร ช่วยเหลือคนให้มากที่สุด ทำเกินไว้เพื่อสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวเอง เป็นโค้ชให้น้องเพื่อทำให้พวกเขาเก่งขึ้น มีน้ำใจและตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของบริษัทเสมอ เหล่านี้เพื่อเป็นการสร้างบารมีที่แท้จริงเพื่อเป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเอง ไม่ใช่เป็นแค่ดาวเคราะห์ที่ต้องพึ่งแสงของบริษัท และพอแสงนั้นหมดลงก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ที่หนาวเหน็บดวงนึงที่ไม่มีใครสนใจ ถึงตอนนั้นจะสร้างก็สร้างไม่ได้อีก
คนส่วนใหญ่รวมถึงผมด้วยมาเข้าใจเรื่องดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ก็เมื่อแสงที่จับอยู่นั้นหายไป ซึ่งสายไปมาก หลายคนจนผ่านไปเป็นปีก็ยังไม่เข้าใจ ยังบ่นยังน้อยใจคนที่เคยห้อมล้อมตอนมีแสงอยู่เลย แต่ถ้าใครยังมีแสงอยู่ก็น่าจะลองคิดแยกแยะดูว่าอันไหนเป็นแสงที่บริษัทส่องให้ อันไหนเป็นแสงเราจริงๆ เพื่อที่เวลาอับแสงจากบริษัทลงก็จะพอมีแสงในตัวเองต่อได้
หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาคร่ำครวญแสงที่หายไปให้เป็นที่น่าเวทนาของคนอื่นเหมือนที่ผมเคยเป็น จะได้เอาเวลาไปทำอะไรใหม่ๆ ไปเริ่มต้นใหม่ได้ง่ายกว่าการยึดติดกับแสงเดิมที่ไม่ใช่ของตัวเองนะครับ
โฆษณา