28 มี.ค. เวลา 06:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ

หนังสือเล่มที่ ๔๑ “ตีแตก” กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต

(1/2) หนังสือโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หนังสือมีจำนวนหน้า ๑๗๕ หน้า เนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุน อ่านง่ายไม่ยากสำหรับคนรักการลงทุน
ผู้เขียน (ดร นิเวศน์) ต่อไปนี้ผมใช้คำว่าผู้เขียน เป็นนักลงทุนชื่อดัง คนแรกในไทยที่ใช้การลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน ของบริษัทเป็นตัววัดว่าหุ้นตัวนั้น น่าลงทุน หรือ ไม่น่าลงทุน โดยในหนังสือ ผู้เขียนจะแบ่งหัวข้อ เป็น ๓ หมวดหมู่ คือ เหตุการณ์การลงทุนของตัวเอง เหตุการณ์การลงทุนของคนอื่น และ การเลือกหุ้นอย่างง่าย
 
ผมจะสรุปสิ่งที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้ไว้ ๓ หัวข้อว่าผมได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง เพื่อให้เความสนใจมากยิ่งขึ้นในการอ่านหนังสือเล่มนี้
หัวข้อ ที่ ๑ ผู้เขียน หัดลงทุนจากสิ่งที่อยู่รอบตัวก่อน เช่น หุ้นโรงแรม หุ้นค้าปลีก หุ้นอาหาร โดยหุ้นเหล่านี้ไม่ได้มีสิ่งที่เราเข้าใจแผนโครงสร้างธุรกิจได้ยาก หรือ เรียกว่าเราคุ้นชินกับธุรกิจง่ายๆแบบนี้ แค่หลับตาก็พอจะจินตนาการได้ไม่ยาก เช่น เกิดสงคราม = คนไม่อยากไปเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ โรงแรมก็ขาดรายได้ , จำนวนร้านค้าปลีกที่เติบโตเยอะขึ้น = มีรายได้เยอะขึ้นก็มีอัตรากำไรที่เยอะขึ้นตามมา , แล้ว ผู้เขียนก็มาจัดหมวดหมู่หุ้นเป็นกลุ่มๆ อีกที
ลงทุนในหุ้นกลุ่มโตเร็ว = บริษัทดาวรุ่ง ผลงานดี งบการเงินดี เจ้าของวิสัยทัศไกล แต่ หุ้นเหล่านี้ ราคาอาจจะไปไกลหรืออาจจะเป็นที่หมายปองของกลุ่มนักลงทุนต่างๆ ต้องหาเวลาเข้าซื้อให้ดี ไม่งั้นอาจจะได้ราคาที่ไม่สู้ดีนัก
ลงทุนในหุ้นกลุ่มแบกับดิน = หุ้นกลุ่มนี้ มักจะเป็นของดีราคาถูก ตาดีได้ตาร้ายเสีย จะต้องพลิกดูป้ายราคาดีๆ ว่ามันของแท้ไหม เช่นหุ้นที่มีปัญหาในการเงิน หรือ มีปัญหาชั่วคราวต่างๆ ทำให้หุ้นตกทิ้งดิ่งมามาก การเลือกหุ้นกลุ่มนี้ต้องใช้หลายปัจจัย ทั้งทรัพย์สินบริษัท สัญญาที่เหลืออยู่ หนี้สินที่มีอยู่ เงินสด หรือ สินค้าที่ยังคงขายดีจริงๆ ไม่จกตาอยู่ใช่ไหม เมื่อพิจารณาสิ่งต่างๆ แล้วมันยังพอไปต่อได้และให้ผลตอบแทนที่ดีก็ยังน่าลงทุน
ลงทุนในหุ้นแบบเหวี่ยงแห = หมายความว่าลงทุนในหุ้นทุกตัวที่สนใจ ทุกตัวๆที่มีโอกาส แต่เชื่อหรือไม่ การลงทุนแบบเหวี่ยงแห กลับทำผลงานได้ไม่ต่างจากการลงทุนหุ้นแบบรายตัวเฉพาะเจาะจง และ ไม่ได้ทำผลงานได้ดีน้อยกว่าตลาดเลยด้วยซ้ำ เผลอๆทำผลงานได้ดีกว่าตลาดมากกว่าหลายเท่าตัว แต่ข้อเสียมันคือ การลงทุนในหุ้น หลายๆ ตัวจำนวนมาก การได้ผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น ยากมาก ยากก็ตรงที่เราต้องใช้เงินลงทุนอย่างมหาศาล เพื่อจะซื้อหุ้นหลายตัว แทนที่เราจะซื้อแบบเจาะจงเป็นตัว
ลงทุนสไตล์แตกแขนง = ประยุกต์ใช้จนเป็นแนวทางของตัวเอง เช่น บัฟเฟตต์ มักมองหาหุ้นที่เป็นผู้ชนะแล้ว และ มีการเติบโตตลอดในทุกปี หรือ การลดลงแบบผสมผสานว่าด้วยว่าหุ้นตัวนั้น มาแรง แรงจนฉุดไม่อยู่แล้วยังมีปัจจัยพื้นฐานดี ที่จะไปได้ต่ออีกแม้ผลกำไร กับราคาจะไม่สอดคล้องกัน แต่ว่ามองจากเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น มันแรงโดดเด่น ก็จะเข้าไปลงทุนเช่นเดียวกัน
โฆษณา