13 พ.ค. เวลา 08:00 • การศึกษา

รู้จักกับ API และ REST API (RESTful web services)

API ย่อมาจาก Application Programming Interface เป็นช่องทางในการเชื่อมต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างแอพพลิเคชั่น โดยการใช้งานจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ
  • Private API หมายถึง API ที่ใช้งานเพื่อเชื่อมต่อกันระหว่างแอพพลิเคชั่นภายในองค์กรเท่านั้น ไม่สามารถเรียกใช้งานภายนอกองค์กรได้
  • Partner API หมายถึง API ที่เปิดให้ใช้งานเฉพาะ Partner หรือ คู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งจะจำกัดช่องทางในการเชื่อมต่อ API ไว้และเปิดให้ใช้งานเฉพาะ Partner ที่ทำข้อตกลงการใช้บริการเท่านั้น
  • Public API หมายถึง API ที่เปิดให้บริการแบบสาธารณะ ซึ่งจะเปิดให้ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นอื่นๆ สามารถใช้งานได้เลย โดยส่วนใหญ่จะเป็น API ที่สามารถเรียกใช้งานได้ฟรีหรือเรียกใช้งานได้จำกัดจำนวน ซึ่งถ้าหากต้องการเรียกใช้งานแบบไม่จำกัดจำนวนอาจจะมีการคิดค่าบริการหรือทำข้อตกลงการใช้งานในรูปแบบ Partner API แทน
การพัฒนา API ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
จะพัฒนาโดยทำงานในรูปแบบที่เรียกว่า “ REST API ”(RESTful web services)
REST API (RESTful web services)
REST (Representational State Transfer) API คือการสร้าง API ประเภท RESTful web services ซึ่งจัดเป็น Web Service รูปแบบหนึ่งที่ทำงานอยู่บนพื้นฐานของโปรโตคอล HTTP และ HTTPS ประกอบด้วย Request และ Response ตามรูปแบบของ HTTP ที่รับส่งข้อมูลหรือเนื้อหาในรูปแบบของ XML , SOAP , JSON
https://www.datamounts.com/difference-rest-api-restful-api/
JSON (JavaScript Object Notation) เป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนหรือรับส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์หรือแอพพลิเคชั่น ในอดีตการแลกเปลี่ยนหรือรับส่งข้อมูลนั้นจะใช้รูปแบบ XML แต่เนื่องจาก XML มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่จึงมีการเปลี่ยนมาใช้ JSON แทน
คุณสมบัติของ JSON เป็นไฟล์ประเภทข้อความ (Text) มีโครงสร้างคำสั่งที่มนุษย์สามารถอ่าน-เขียนแล้วเข้าใจได้เลย อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เป็นมาตรฐานกลางของทุกภาษา สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มบนระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน
REST API นั้นทำงานโดยใช้พื้นฐานของโปรโตคอล HTTP ดังนั้นแต่ละ Method ของ HTTP จึงนำมาใช้งานใน REST API โดยนักพัฒนา API จะเขียนโปรแกรมให้ API นั้นประมวลผลกับข้อมูลตามความหมายของ HTTP Method
  • GET หมายถึง ดึงข้อมูล
  • POST หมายถึง สร้างข้อมูลใหม่
  • PUT หมายถึง การแก้ไขข้อมูลทั้งหมด
  • PATCH หมายถึง การแก้ไขข้อมูลบางส่วน
  • DELETE หมายถึง ลบข้อมูล
HTTP Status Code คือ รหัสที่บ่งบอกสถานะการทำงานของ Request
  • 200 (OK) — ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ไม่มีข้อผิดพลาด
  • 201 (Created) — สร้างข้อมูลหรือ Resource ใหม่เสร็จสมบูรณ์ไม่มีข้อผิดพลาด
  • 202 (Accepted) — ได้รับ Request แล้วและกำลังประมวลผลข้อมูล แต่ยังประมวลผลไม่เสร็จสมบูรณ์
  • 204 (No Content) — ได้รับข้อมูลจาก request แล้วแต่จะไม่มีข้อมูลใดๆกำหนดในส่วนของ Body และ Response
  • 400 (Bad Request) — ส่ง Request หรือข้อมูลผิดรูปแบบ
  • 401 (Unauthorized )— ไม่มีสิทธิ์เรียกใช้งาน API สาเหตุเกิดจากไม่ได้ส่ง HTTP Header ที่ชื่อ WWW-Authenticate มาด้วย หรือ ส่ง WWW-Authenticate (username,password , token) มาแล้วไม่มีสิทธิ์ใช้งาน
  • 403 (Forbidden) — Client ไม่มีสิทธิ์ใช้งาน API นี้โดยเฉพาะ
  • 404 (Not Found ) — ไม่พบ URL , API ที่เรียกใช้งาน
  • 405 (Method Not Allowed) — API ไม่รองรับ Method ที่ระบุใน Request
  • 500 (Internal Server Error) — เกิดข้อผิดพลาดที่ฝั่ง Server
➤ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ :
โฆษณา