3 เม.ย. เวลา 15:56 • ปรัชญา
คนที่ท่านดับได้ มันเหมือนว่า จิตท่านเฉย ๆจริงๆ ไม่มีอารมณ์กรรมตัวกระทำ หากว่าไม่อยู่ใกล้ชิด ไม่ได้ดูแล ไม่สังเกต จะไม่รู้เลย ท่านบอกว่า จิตของท่านไม่มีอารมณ์ ไม่มีจิตหญิงชาย จิตของผู้ที่พ้นทุกข์ นั้น จิตเราเป็นจิตน้อยๆ ไม่อาจไปอ่านจิตของท่านได้เลย จิตของพระที่ท่านดับทุกข์ นั่นท่านก็เรียนรู้อะไรต่างๆ มามากมาย สะสมบุญบารมีมามาก จิตของท่านไปไหนมาไหนได้ ..เรื่องอภิญญาหก นั้นท่านก็ผ่านมาได้ ท่านระมัดระวัง ในคำพูดของท่าน
2
คราวนี้ ปัญหามันเกิดขึ้น เรารู้จักคำว่าทุกข์จริงหรือ รู้จักคำว่าจิต จริงหรือ เรารู้จักจิตที่เป็นนามธรรม ก็คือ ตัวตนของเราที่เป็นนามธรรม ที่มาอาศัยกาย เหตุที่ถามอย่างนี้ เพราะว่า หากจิตเรา เราก็ยังไม่รู้จัก แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ทุกข์ของกาย ทุกข์ของอารมณ์ ทุกข์ในสิ่งที่เรียกว่า สิ่งต่างๆไหลมาแต่เหตุ เรารู้จักได้หรือยัง เหมือนที่พระอัสสชิ พูดให้พระสารีบุตร ฟัง สิ่งต่างๆไหลมาแต่เหตุ เพียงแค่นี้ ผู้ที่สะสมปัญญาธรรมมามาก ท่านก็เข้าใจแล้ว
1
เรื่องราวผู้ที่ดับทุกข์ได้แล้วมันมีจริง ท่านมิได้ดับสังขาร ดับสังขาร เมื่อไหร่ก็เข้าพระนิพพาน ท่านล้วนนอบน้อมในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ขี้ทางให้ท่าน ยุติการเกิดได้ ท่านก็อธิษฐาน กายของท่านไว้ เพื่ออยู่ต่อประคับประคองศาสนา ช่วยเหลือ ญาติโยมที่มุ่งมั่น สะสมบุญกุศลบารมี หนีกรรม ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
1
แต่นั่นแหละ หากใครพูดเรื่องนี้ เค้าก็ว่ารู้ได้อย่างไร นั่นก็เรื่องที่เค้าสอนให้สร้างบุญกุศลบารมี ปฏิบัติธรรมในรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระทำขึ้นมาฝึกหัดตัวเองขึ้นมา ทำด้วยกายวาจาใจของตนเอง ที่ก็มีคำว่า ปัจจัตตัง เวธิตัพโพ วิญญู โหดุ เราก็ทำขึ้นมา ก็จะค่อยๆรู้จัก ..แต่นั่นแหละ ส่วนมากเราไม่ลงมือทำ แล้วก็มัวตั้งคำถาม ดับทุกข์ พ้นทุกข์ จริงหรือ
....ก็ชีวิตนี้มันก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว มีความตายเป็นเบื้องหน้า ลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ..สร้างบุญกุศลบารมี หนีเวรกรรม ตามรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นยาขนานเอก .ยาสี่เม็ด ช่วยให้จิตพ้นทุกข์พ้นเวรกรรม ทำให้การเกิดน้อยลงไป จนหมดเหตุต้องเกิด ..เกิดที่นั้นที่นี้ ..ไม่มีเกิดอีก กายตายไป ..ไม่ต้องไปมีกาย ..อะไรทั้งนั้นอีกแล้ว กายสัตว์ กายนามธรรมที่เป็นทุกข์หรือสุขอีกต่อไป จิตหมดที่จะไม่กายไปเกิดอีก ก็มีสถานที่เดียว คือ ..แดนพระนิพพาน
ส่วนพวกเราชอบการเกิด นิยมให้เกิด เกิดดีใจ เกิดเสียใจ เกิดอารมณ์โลภ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยว ร้องไห้ อารมณ์มันวิปริต . ไปเรื่อย แล้วเราก็ทำไปตามอารมณ์ ..โดยไม่รู้ตัว จิตก็รับรู้ไม่ได้ ว่านั่นคือกรรม นั่นคือทุกข์ จิตมันถูกอารมณ์นึกคิดปกปิด ให้ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักอารมณ์ ก็ยินให้กายแสดงพฤติกรรม ไปตามอารมณ์กรรม
มีสิ่งหนึ่งที่ยากรู้จัก คือ ตัวกระทำ เรื่องราวของจิตที่จะเข้าไปถึงธาตุทั้งสี่ เข้าไปถึงเรื่องราวอารมณ์กรรมตัวกระทำ นั่นยากเย็นแสนเข็น ที่ต้องทำกายให้นิ่งจิตนิ่ง จิตต้องมีความนอบน้อม ไม่เห็นตัวเองดี ตัวเองเก่ง ไม่อวดดีอวดเก่ง แต่เป็นจิตที่ไม่มีอารมณ์นึกคิด ถคงจะเข้าไปเรียนรู้เรื่องราวต่างๆได้
มันจึงมีเรื่องราวที่ ที่ว่า สุขของจิต ที่พ้นจากอารมณ์กรรมตัวกระทำ ..สิ่งเหล่านี้ ..เราไม่รู้จักได้เลย เราเป็นจิตดวงน้อย เข้าไปเรียนรู้ไม่ถึง ท่านก็เมตตา บอกให้สร้างทานสร้างกุศลขึ้นมา ให่จิตมีพระเป็นที่พึ่ง จิตเรามีพระเป็นที่พึ่งจริงหรือ ..เมื่อเราไม่มีพระเป็นที่พึ่ง ใครละจะชี้แนวทาง ปฏิบัติ ชี้เส้นทางให้เราพ้นทุกข์ หรือว่า จะคิดเอง ก็ไม่ต้องไปศึกษาคำสอนของพระ หรือ อ่านรู้ไว้ประดับสมองให้จดจำ ..สมองมันก็ไม่เที่ยง มันหลงลืมได้ ลืมของนั้นของนี่ได้
แล้วการที่จะดับทุกข์ได้ เค้าต้องดับที่ธาตุทั้งสี่ ที่สะสมทุกข์มา ธาตุทั่งสี่ก็คือดินฟ้าอากาศ ผู้ที่จะดับทุกข์ ท่านก็ไปอยู่ป่า อยู่ในที่แจ้ง เพื่อที่จะดับทุกข์ของจิต ที่ฝากไว้กับธาตุทั้งสี่ เค้าจึงไปดับกันในป่า ไม่มานั่งดับกันในเมือง
อยากจะถามว่า บุญที่เราพูดถึงกันนั้น ในคำว่าบุญ นั่นเป็นอย่างไร คำว่าเนื้อนาบุญเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจึงเกิดเป็นบุญ คำว่าบุญกุศล นั่นเค้าเก็บกันไว้ที่ไหน คำว่าทุกข์ มันมาจาดตรงไหน ..จนไปถึงคำว่าบารมี มันต้องทำอย่างไร จ้ตเกิดเป็นคำว่า บารมี ในเส้นรอยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วที่ว่า อุทิศกุศล นั่นใคร..ที่จะช่วยนำพาบุญกุศล ส่งให้ถึง..ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ..หรือ ว่าเราที่ใจเราก็ถึงแล้ว ..ส่งถึงผู้ที่เราปรารถนาเจาะจง อุทิศให้ ..บางก็ว่า ทำบุญที่ใจพอแล้ว. แล้วใจของตนเองเป็นอย่างไร อยู่กับพระ หรืออยู่กับอารมณ์นึกคิด
โฆษณา