5 เม.ย. เวลา 12:14 • ท่องเที่ยว
ศรีลังกา

รีวิว ศรีลังกา 4วัน 4คืน ep2 ฉบับขับรถเอง

เมือง Little England แห่ง ศรีลังกา.
เราขับรถออกจากเมือง แคนดี้ เกือบเที่ยง วิ่งตรงไปยัง Nuwara-Eliyah ประมาณ 2 ชม ครึ่งกว่าๆ ทาง ที่นี้เป็นทางขับขึ้นเขาลงเขาตลอดทาง ทาง ไม่ได้มีความชันมาก แต่ มักจะมีทาง คดเคี้ยวเรื่อยๆ ซึ่งถ้าชินกับการขับรถบนเขา แถว ม่อนแจ่มละก็ ผมว่าชิว ครับ
จุดมุ่งหมายของเราที่เมือง Nuwara คือ ไร่ชา (Tea plantation) นั่นเองครับ เมืองนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง อุตสาหกรรมชาหลัก ของศรีลังกา พี่ๆหลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อ Dilmah ใช่ไหมครับ
Dilmah คือ ยี่ห้อชาอันโด่งดัง ไม่ว่า จะเป็นชาขาว ชาดำ earlgrey หรือ ชาผลไม้ต่างๆ เนื่องจาก เป็น ประเทศส่งออกชาอันดับต้นๆของโลก ชา ที่นี่ราคาจึงไม่แพงเลย ผมขอแอบ กระซิบว่า ชาที่นี่ กล่องนึง อยุ่ประมาน 50บาทไทย ส่วน แบบเดียวกัน เหมือนกันเปี้ยบที่ขายตาม ห้างในไทย ราคาประมาณ 200บาท ครับ
ที่ๆเราจะไปคือ Bluefield Tea plantation. เป็นไร่ชา กึ่งๆ ศูนย์การเรียนรู้ชา ที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
ที่ไร่ชา พอถึง เค้าจะมี ไกด์มาแนะนำเรา เกี่ยวกับ ประวัติศาสของ ชา และ พาเราเดินชมโรงงาน จวบจนถึงขั้นตอนการทำชา ตั้งแต่เก็บเกี่ยว ตากแดด ตากลม คัดกรอง และ อบ จนจบ Process เลย ซึ่งค่า ไกด์ นั้น เค้าจะไม่ได้คิดตายตัวนะครับ
ไกด์จะเป็นเหมือน อาสาสมัคร ที่ พอจบการทัวร์แล้วเราต้องให้สินน้ำใจเค้า ส่วนเรื่องสินน้ำใจนั้น แล้วแต่เราเลย ถ้าถุกใจกับการบริการแนะนำก็ให้ตามที่เราเห็นควรเลย ส่วนของผมนั้น ผมให้ไป 2000 รูปี หรือ ประมาณ 200บาทไทย ด้วยความที่ว่า เค้าทุ่มเทกับการอธิบายมากๆ แล้วประจวบกับเราที่เป็นหนุ่มไทยใจบาง เลยยอมให้พี่เค้าไปนิดหน่อย
กว่าจะเสร็จจากไร่ก็ปาไปเกือบ 4โมงเย็นแล้วครับ เดินชมโรงงาน ไร่ เพลินไปหน่อย ซึ่งจริงๆแล้ว ทางผมกำหนดเวลา ว่าจะออกจากไร่ชาไมเกิน บ่ายสามโมงเย็น เพราะกลัวว่าถ้าออกเลท กว่านี้ จะถึงที่พักมืด ซึ่งความกลัวนี้จะ ทำให้ผมไม่กล้า ที่จะเฉื่อยอีกเลย
เราออกจากไร่ชา ตอน 4 โมงเย็น แล้วจะต้อง ขับรถต่อไป อีก ประมาน หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งท้องฟ้าของที่นี่มืดค่อนข้างเร็ว
ไฟริมถนนของที่นี่ค่อนข้างมืด และ อากู๋(Google) ได้เล่นผมแล้ว
การเดินทางหลัก ขอผมในทริปนี้ พึ่งแมพอากู๋ ล้วนๆ เย็นวันนั้น อากู๋ อุตริ ไม่พาผมไปทางหลัก บวกกับผม ไม่ได้ดูแมพให้ดี จากถนนที่พอมีไฟ ถนนราบเรียบ กลับกลายเป็นถนนลูกรังที่ไม่มีไฟ มืดสนิด สิ่งเดียวที่เห็นตรงหน้าคือ ไฟจากไฟหน้ารถคันน้อยๆที่ขับอยุ่เท่านั้น
เค้าพาผมไปทางลัด ตัดภูเขา ใช่ครับ ตัดภูเขา ถนนลูกรังที่ ไม่มี ไฟ ที่ ต้องขับขึ้นเนินแบบ มืดๆ ใช้ความเร็วสูงสุดได้แค่ 30กม/ชม หรือ ต่ำกว่านั้น
ผมอยากให้พี่ๆนึกตามนะครับ ทางมืดแทบจะสนิด สิ่งเดียวที่ สว่างคือ ไฟจากหน้ารถ Suzuki คันน้อยที่เช่ามา
ฟีลลิ่งเหมือนหนังผี GTH ที่ในหนังพยายาม สร้าง surrounding เพื่อ รอจังหวะที่ ผี จะออกมาตุ้งแช่ กับเราได้ทุกเมื่อ
ตลอดทาง ไม่มีการพูดคุยเกิดขึ้น เหงื่อ ผุดตามมือ สะดุ้งกับสิ่งที่แสงไฟสาดส่อง ไม่ว่าจะเป็นวัว ที่ยืนกินหญ้า หรือ คนเดินกลับบ้าน
เป็นการขับรถ 40นาที ที่เหงื่อออกมือพวงมาลัยเปียก ทั้งรถ เงียบกริบ และความเครียดยึดเกาะตามมือ ที่แขนและ ขา กว่าจะออกมาจากทางลัดนั้นได้ 40นาทีที่เหมือน 2ชม นั้น ก็จบลง เรากลับมาที่ ถนนหลัก อีกครั้งพร้อม ทั้งโล่งใจ ที่บอกตัวเองว่า รอดแล้วเรารอดแล้ว กลัวโดนอุ้มหมกป่าแล้วสิเรา บอกตัวเองว่าจะต้องวิ่ง เส้นหลักเท่านั้น อย่าหลงเชื่ออากู๋ อีกเป็นอันขาด
เพราะว่าผม…………………………เข็ดแล้ว
เราถึงที่พักกันประมาน ทุ่มนิดๆ เราพักที่ Ella Mount View Guest Inn ที่พัก ราคาไม่สูง สมราคา วิว โอเค ถ้ามีการตัดต้นไม้ที่บังวิงห้องพักได้จะดีมากเลยครับ อากาศดี มีแต่ป่าไม้ อยู่ในตัวเมือง Ella เลย ผมแปะลิ้ง ไว้ให้ ด้านล่างนะครับ 👌👇👇
เมือง ella ยามค่ำคืน ให้ ความรู้สึกเหมือน pattaya ที่มีแต่ ฝรั่งนักท่องเที่ยวตาม บาร์ต่างๆ
ใจนึงผมก็อยากออกมาเดินชมเมือง นะครับ แต่ว่าการขับรถในที่มืด ได้ดูดพลังของผมจนหมดแล้ว
ตอนเช้าของที่นี่ อากาศค่อนข้าง เย็นสบาย อากาศประมาณ 20องศา ทางข้าวเช้าที่ โรงแรม เสร็จแล้วเราก็พร้อม ไปชม สะพานรถไฟ ที่ขึ้นชื่อ ของ ella นั่นก็คือ Nine arch bridge ที่ผมเกริ่นก่อนหน้านี้
วิวจากที่พัก
การเดินทางไป สะพานนั้น ผมได้พึ่งพา อากู๋ อีกรอบ ซึ่งครั้งนี้ อากู๋ได้แกงผม อีกแล้วครับ เนื่องจาก ในmap ทางไป สะพานนั้นมีหลายทางมาก ซึ่งจุด location ที่ขึ้นว่า Nine arch bridge parking spot นั้น มีค่อนข้างเยอะ อากู๋ได้ทำการพาเราไปยังจุดที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเราขับรถไปที่จอดประมาน 7-10นาทีเท่านั้นเองแล้ว เราต้องเดินต่อไป อีก 10นาที ซึ่งผมก็มองว่ามันไม่ได้ไกลเลยชิวมาก
แต่……………………………
ใช่ครับ ทางเดินลึกลับ มันมาอีกแล้ว 10นาที บนพื้นธรรมดายังพอว่า แต่นี่ ขึ้นและลงเขา ครับ
ชันมาก ชันชนิดที่ว่า ชันจนต้องร้องขอชีวิต ชันเหมือน สควตตลอดเวลา เป็นเวาลา 10นาที
ทางขึ้นไม่เท่าไหร่ ทาทางลง นี่สิ สุดดดดดดดดดดดดดด ให้ฟีลเหมือน trekking แบบย่อมๆ
แต่จากความลำบาก ในการเดินทาง ผมก็ต้องบอกแหละครับว่ามันสวย ถึงมันจะร้อนมากๆ ก็ตามที่ แต่สำหรับผม
การได้มายืนที่ จุดประวัติศาสตร์ มุมมหาชน จุดถ่ายรูปของ เมืองนี้ ผมว่ามันก็คุ้มแล้วครับ
ช่วงเวลาที่ผมถึงคือ 10โมงนิดๆ ทางรถไฟนี้จะมีรถผ่าน ตามช่วงเวลา ที่เค้าระบุไว้ ของผม ตอนนแรกไม่เจอ รถไฟครับ จจากการรีเสิชของผม เค้าว่ารถไฟจะมาเวลา 10.45 แต่ 10.50ก็แล้ว 11.00 ไม่มาครับ จน ผมถอดใจ เอาวะ ถ่ายกับแค่ รางกับสะพานก็ได้
จนระหว่างทางกลับในขณะที่ผมอยู่บนยอดเขา ก็ได้ยินเสียง ปู้นๆ มาไกลๆ เลยตัดสินใจยืนรอบนเขานั่นแหละครับ ไม่เกิน 5นาที รถไฟก็มาจอดระหว่าง สะพานเพื่อให้คนลงมาถ่ายรูป คนบนรถไฟที่นั่งมาจากต่างเมือง ต่างก็ยื่น โบกไม้โบกมือ ให้กับคนที่รอรถไฟมา ส่วนผมนั้น ก็ยืนถ่ายจากด้านบนไปสิครับ ลงไปคงไม่ทันแล้ว……
ถึงจะไม่ได้ลงไปถ่ายกับน้องรถไฟอย่างที่หวัง แต่การถ่ายรูปจากด้านบน ก็ isn’t so bad after all
สะพาน Nine arch bridge ซึ่งถูกสร้างในนามของ British colonial ในปี 1921 เนื่องจากช่วงนั้น เป็นช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 1 เหล็ก เป็นที่ต้องการ เพื่อใช้ในทางการทหาร สะพานนี้จึงถูกสร้างด้วย หิน และ ซีเมน ทั้งหมด
สะพาน มีความสูง 30เมตรจากพื้นดิน และ ยาวกว่า 90เมตร รถไฟที่วิ่งผ่าน สายทางเส้นนี้ แบ่งออกเป็น สองสีสองขบวน
ขบวนสีแดงสำหรับขนส่งของ ส่วนขบวนสีน้ำเงินสำหรับเดินทาง บรรทุกผู้คน
ข้อแนะนำ ถ้าอยากได้ วิวสะพานแบบไม่มีคน ผม แนะนำ ให้มาเช้า ช่วง6-7โมงเช้าครับ ถ้าโชคดี ก็จะมี รถไฟผ่านให้ถ่ายรูปด้วยครับ
ผมออกจาก Ella ช่วงสายแก่ๆ เพื่อเดินทางไป Galle เมือง ติดทะเลสุดชิล ของ ศรีลังกาใต้
การเดินทาง จาก Ellaไป galle ค่อนข้างสบายครับ เป็นทางขับลงเขา อาจจะมี โค้งบ้าง แต่พอลงเขาแล้ว เป็น ทางด่วนทางตรง ที่ ขับง่าย วิวทิวทัศ โล่งสบาย ผมต้องยอมรับนะครับว่า ธรรมชาติ ของ ที่นี่ค่อนข้าง
สมบูรณ์ อาการ ถึงจะมีร้อนบ้าง ตาม ลักษณะประเทศทางตอนใต้ แต่ด้วย วิว แมกไม้ ป่าเขา มันก็ไม่ได้ทำให้เราร้อนอย่างที่คิดเลย
เราจะพักที่ เกล 1 คืน ที่พักที่เราเลือก อยู่ในเมือง ห่างจากหาด ประมาณ 10นาทีกว่า
Villa White Queen by Ceylon Itinerary เป็นบ้านพักหลังใหญ่ เนื้อที่ค่อนข้างกว้างมี สนามหญ้า สระว่ายน้ำ
ภายในบ้าน เป็นบ้าน สองชั้น เพดานสูง น่าจะมีห้องพักประมาณ 4-6 ห้อง ถ้าผมจำไม่ผิด
Highlight ของที่พักที่นี่คือ ราคา ไม่สูง เมื่อเทียบกับ สิ่งที่ได้รับ ตั้งแต่มา ศรีลังกา ผมชอบที่พักของที่นี่ที่สุด
ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ รร ที่ สมุยเลยครับ 555
เข้าถึงก็มี เวลคัมดริ้งเป็น มะพร้าวสีทอง ตกแต่งด้วยมะนาวด้านบน พนักงานต้อนรับ ยิ้มแย้มดีทุกคน ช่วยเหลือแบบ สุดๆ
จนไม่คิดเลยว่านี่คือ บ้านพักแบบวิลล่า
ตกเย็น เราก็ต้องมาเซอเวย์ Galle dutch ford กับ Galle light house อันเลื่องชื่อ ที่เป็นแลนมาร์คของเมือง เกล ซะหน่อย
Galle dutch ford เป็นป้อมปราการที่ได้รับการ ยอมรับ จาก องกรณ์ UNESCO ให้เป็น แหล่งมรดกโลก (World Heritage Site) เหมือนกับวัดพระเขี้ยวแก้ว ที่เมือง kandy เลยครับ
ตัว world heritage site หรือ แหล่งมรดกโลก นั้น
กลับมาพูดถึง ป้อมปราการ เกล กันต่อ ครับ ในโซนนี้ จะประกอบไปด้วย ป้อมปราการ ริมทะเล กับ อาคาร ร้านอาการ บ้านเรือน ต่างๆ และ ประภาคารริมทะเล
จากชื่อ galle ducth ford มีความเป็นมาคร่าวๆ ได้สว่าเมืองได้ถูกชาวดัช ยึดครองในปี 1640 และ ได้สร้าง กำแพง ป้อม ริม ผาหินสูง ติดทะเลทางตอนใต้ของเมืองเกลเพื่อ ป้องกัน นักล่าอนานิคม อื่นๆ รุกราน เช่น อังกฤษ,ฝรั่งเศษ,เดนมาร์ค,สเปน และ โปรตูเกต อ่านเพิ่มเติม ลิ้งนี้ครับ
โดยหลักๆ แล้ว การเดิน ชมป้อมปราการ ก็จะมี ป้ายข้อมูลประวัติศาสตร์ ติดตามทางเพื่อให้เราอ่าน และ เข้าใจถึงประวัติศาสตร์อันมีค่าของเมืองแห่งนี้อีกด้วย
เราเดินเลาะมาเรื่อยๆ ก็จะเจอ Galle light house เป็นประภาคาร โบราณ ที่ไม่ได้สูงมาก เป็น จุดที่ ผมแนะนำให้มาถ่ายรูป ไม่ว่าจะ กับตัวประภาคารก็ดี ปล. ประภาคารขึ้นไม่ได้นะครับ เดินได้แต่ รอบๆ และเนื้องจาก สิ่งปลูกสร้าง อยู่บน ผาหิน วิวจากด้านบน ก็สวยไปอีกแบบ ลมเย็น สบาย มีผู้คนเล่นน้ำกันประปราย แต่คลื่นก็แรงไม่ใช่ใช่เล่นเลย แหะๆ
นั่งทานไอติมสักแท่ง นั่งเฉื่อยๆ รับลม สักพักแล้วค่อยเดินหามื้อเย็นทานต่อ
บรรยากาศรอบถือว่า อากาศปลอดโปร่ง ถึงจะไม่ได้เห็นวิว หาดทรายเหมือนบ้านเรา เนื่องจาก มีกำแพงล้อมเอาไว้ แต่ลมก็พัดโชย ตลอดทางเดิน ร้านรวงต่างๆ ก็มีเปิดบ้างประปราย ที่บางร้านยังไม่เปิดผมว่าอาจจะเป็น ผลพวงจากพิษโควิด
โดยปกติแล้ว ศรีลังกาเป็น Travel destination ของ ผู้คนทั่วโลกโดยพาะ ฝรั่งโซน ยุโรปอเมริกา ปี2018 โดนยกให้เป็น ประเทศหน้าเที่ยวที่สุดด้วยนะเอ้อ
ส่วนวันรุ่งขึ้นแพลนเราไม่ได้มีอะไรที่รีบมาก ตื่นสาย ทานข้าวเช้าที่ วิลล่า เสร็จ แล้วก็ ออกเดินทาง เข้า สู่เมืองหลวง Colombo โลดดด
ทางเข้าเมืองหลวงวันนี้ ถือว่าเป็นถนนที่โล่งที่สุดตั้งแต่ มาที่ ศรีลังกา เราใช้ บริการท่างด่วน จากเกลไปโคลอมโบ
เป็นเส้นทางตรง ใช้เวลาประมาณ เกือบ2 ชม เป็นทางตรงที่ถนน ลาดยางอย่างดี ระหว่างทาง เป็น ทางโล่งๆ มี ภูเขาให้เห็นประปราย
และ มากกว่านั้น คือ นกยูงข้ามถนน ครับ นกยูงที่สามารถ กางหางรำแพน ได้ตัวนั้นหละครับ ตัวที่สีเขียวๆ คอยาวๆ กำลังเดินข้ามถนน บนทางด่วน!!!! ผมนี่ชะลอรถเลยครับ กลัวโดนน้อง แหะๆ
ก่อถึงตัวเมืองเราก็แวะหาอะไรทาน ที่จุดแวะพัก ซึ่ง ผมเจอร้านข้าวโพดคลุกเนย ร้านนึง เข้าใจว่าน่าจะมี เฟรนไชน์ ทุกที่ในประเทศ
เป็นข้าวโพดคลุกเนยที่เหมือที่ผมกินที่อินเดียเลย มีรสชาติให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ชีส แมกซิกัน หรือ เป้ปเปอร์ อันที่ผมสั่งมาเป็นชีสครับ คนที่ชอบข้าวโพดใส่ชีส ผมนี่ Recommend เลย
พอเข้าตัวเมือง ความวุ่นวายก็เริ่มเกิด ไม่ว่าจะ รถต่างๆ ผู้คน รถติด แสดงถึงว่าเราเข้ามาในเขตเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
ส่วนคืนสุดท้ายเราเลือกที่พักติด ทะเลศรีลังกา The Ocean Colombo ทะเลที่ไม่มีหาด เป็นที่พักราคาไม่สูงมาก มีที่จอดรถให้ บริการ และ รร ไม่ไกลจากตัวเมือง วันนี้เราจะเที่ยวกันแบบทิ้งรถไว้ที่ โรงแรม และ นั่งตุ้กๆ ตะลุยเมืองหลวงกันครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ ep2
Epหน้าเป็น epสุดท้ายของทริปศรีลังกาแล้ววนะครับ ยังไงฝากอ่านติชมผมได้เลยครับ
แล้ว เจอกัน ep3ครับผม
ด้วยรัก อิสระหน้าฝน 🤘🤘🤘
โฆษณา