Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Mandala
•
ติดตาม
10 เม.ย. เวลา 03:28 • การเมือง
บทความพิเศษ.
ว่าด้วยเรื่องรุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 2475
คำถามคือ ปรีดี พนมยงค์ คือ สุภาพบุรุษจริงหรือไม่?
และความสามารถของคณะราษฏรในปัจจุบัน มีอยู่จริงไหม?
ถ้าอ่านหนังสือประวัติที่มามาก ก็จะเข้าใจมาก แต่ถ้ามัวแต่ไปนั่งฟัง อ.จาก ม.ธรรมศาสตร์กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(บางคน)มาก ก็จะมั่วมาก และนักศึกษามักจะถูกหลอกอย่างแนบเนียนมาก
หลักแนวคิดและการบริหารของปรีดี พนมยงค์ จากสมุดปกเหลือง และบทสัมภาษในปี 2522 ที่เปิดปากยอมรับความคิดของตนว่าผิดถนัดนั่น แต่มิใช่เป็นเพราะเกิดมาจากแนวคิดข้อโต้แย้งจากสมุดปกขาวของในหลวงร.7 แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะปรีดี พนมยงค์ มีทายาทที่ใช้แนวคิดระบบฟาสซิสต์ ที่เขาเป็นผู้ดิเริ่มขึ้นที่จะนำมาใช้ในแผ่นดินสยาม และเข้าเห็นกับตาตนเองแล้วว่า แนวคิดทั้งหมดของเขานั้นถูก "กลุ่มผู้นำเขมรแดง นำไปใช้ทั้งหมด จากแนวคิดของตัวเขาเอง"
เขมรแดงกำเนิดเกิดขึ้นและใช้ระบบฟาสซิสต์ที่เหมือนแนวคิดของปรีดีทุกอย่าง ในปี พ.ศ.2518และล่มสลายลงในปี 2522
ระบอบนี้ทำให้ประชาชนเขมรตายไปทั้งประเทศถึงสามส่วน
ตรงกับที่ปรีดีให้สัมภาษกับสื่อต่างประเทศในปี 2522 เมื่อเห็นเขมรสิ้นชาติลง และมองเห็นทุกภาพชัดเจนของหลักแนวคิดของตน ถึงได้ยอมออกมาปริปากว่า ตนคิดผิด พระเจ้าแผ่นดินในหลวง ร.7คิดถูก
จริงๆแล้วประวัติศาสตร์ 2475 เมื่ออ่านทุกบททุกตอน ตั้งแต่ต้นจนจบ แบบไม่มีอคติใดๆ ต่อในหลวง ร.7 คนไทยทุกคนหรือสภาผู้แทนราษฏร ควรยกพระเกียรติของพระองค์ท่านให้เป็น"มหาราช" ก็ไม่เกินความเป็นจริง
แต่ในตอนนั้น ก็เพราะด้วยสยามประเทศมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่บนแผ่นดินสยามอยู่มาก และในกาลเบื้องหน้าสยามประเทศจะต้องมีเหตุให้เกิดอารยะธรรมใหม่ขึ้นมา จึงเป็นเหตุให้ในหลวง ร.7 ทรงตัดสินใจสละราชสมบัติและเสด็จอยู่ต่างประเทศ และไม่ข้อยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มคณะราษฏร
***ความหมายคือ สมุดปกขาวและแนวคิดของในหลวง ร.7 ในตอนนั้น ที่เตรียมแผนให้สยามประเทศมีระบอบประชาธิปไตยในแบบประเทศสหรัฐอเมริกา แต่คณะราษฏรส่วนใหญ่ต้องการให้สยามประเทศมีประชาธิปไตยแบบอังกฤษ แต่ปรีดีกับพระยาพหลฯ มีแนวคิดให้สยามประเทศมีประชาธิปไตยแบบรัสเซีย จะเห็นได้ว่า ในยุคที่จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ขึ้นปกครองบ้านเมือง ก็ใช้ระบอบฟาสซิสต์มาใช้กับสยามประเทศมาตลอด ทั้งการให้ยกเลิกการเล่นดนตรีไทย การกินหมาก การแต่งตัว และเผด็จการรัฐสภา และครอบครองที่ทำกินของประชาชน
ทำไมในหลวง ร.7 ถึงคิดเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยให้เหมือนสหรัฐอเมริกา เพราะทรงเห็นว่า เชื้อพระวงศ์และเจ้าขุนมูลนายยังคงยึดติดอยู่กับอำนาจมาก การจะมีประชาธิปไตยแบบอังกฤษนั้น พระองค์ทรงมองการไกลว่า การแย่งชิงอำนาจกันทั้งจากเชื้อพระวงศ์ เจ้าขุนมูลนาย คงไม่พ้นที่จะบีบบังคับให้กษัตริย์ต้องเลือกข้าง และคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือพสกนิกรของพระองค์
แต่เดชะบุญของแผ่นดินสยาม ไม่ว่ากลุ่มคณะราษฏรจะมีอำนาจทางการเมืองมากเท่าไร ก็ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ตามที่พวกตนปราถนา เพราะไม่มีสติปัญญามากพอที่จะแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้ ในยุคสิ้นสุดสงครามโลกลง และเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำลงในทั่วโลก
ปรีดีคือสายอำนาจที่แข็งมากของคณะราษฏร แต่ไม่มีสติปัญญามากพอที่จะแก้ไขปัญหาอันหนักอึ้งนี้ได้ ต่างกับสมเด็จพระเดชพระคุณท่านในหลวงร.7 ที่ทรงมองการไกลและเข้าใจสภาพของราษฏรในประเทศได้แบบกระจ่างแจ้ง
หากเรามานึกเปรียบเทียบระหว่างนายปรีดีกับ นาย ศ.ศิวลักษณ์ ก็อาจกล่าวได้ว่า ภพภูมิปัญญาเสมอกัน คือ เก่งแต่ปากพูด ใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ มีแต่จินตนาการ ขาดการวางแผน ภาคปฏิบัติอ่อนด้อย และมีมุมมองวิสัยทัศน์ที่คับแคบ
****เพราะหากอ่านประวัติศาสตร์และแนวคิดของในหลวง ร.7 ในตอนนั้น จากแนวคิดที่จะให้ผู้ใกล้ชิดไปทดลองร่างกฏหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ในราชอาณาจักรไทยตามแนวคิดของพระองค์จะพบว่า ****ทรงมีพระประสงค์จะสละราชสมบัติ และมอบประชาธิปไตยให้กับประชาชนปกครองกันเอง****
แต่ถูกทัดท้านเอาไว้เสียก่อน เพราะคนในสยามประเทศในตอนนั้นยังไม่มีความพร้อมที่จะเข้าถึงระบบการปกครองใหม่
***แม้แต่กลุ่มคณะราษฏรในตอนแรก ก็มิอาจจะขึ้นบริหารบ้านเมืองตามลำพังได้ หากไม่มีพระมหากษัตริย์คอยเป็นแบล็คอยู่เบื้องหลังให้
*****จะเห็นได้ว่าพอในหลวง ร.7 ทรงประกาศสละราชสมบัติ กลุ่มคณะราษฏรก็เข่นฆ่าหักหลังกันเอง มากกว่าที่จะคิดบริหารประเทศตามที่ได้ถวายสัตย์ไว้กับในหลวง ร.7
****และลองหลับตาดูว่า ใช้เวลานานขนาดไหน ที่สยามประเทศจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้เท่าทุกวันนี้ ในรัชสมัยที่ในหลวง ร.8กับ ร.9 ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่มากในต่างประเทศ ก่อนที่จะถูกกลุ่มคณะราษฏร จะกราบบังคมทูลให้สองพระองค์กลับคืนสู่ประเทศไทย และสุดท้ายก็กลายเป็นในหลวง ร.9และบรมศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ต้องทรงงานหนักถึง 70 ปี สยามประเทศถึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ตราบเท่าทุกวันนี้
****และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนั้นก็คือ หากคณะราษฏรมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และเชื่อมั่นในตัวของในหลวง ร.7 และรอคอยการมอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้กับประชาชนตามวัตถุประสงค์ของ ร.7
****เชื่อว่าป่านนี้สยามประเทศคงไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เป็นคู่บุญบารมีให้กับพสกนิกรในแผ่นดินไทยกันแล้ว คงเปลี่ยนการปกครองไปเป็นแบบสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน
*****บางทีเมื่อคิดแบบไม่มีอคติใดๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปของประวัติศาสรต์ 2475 อีกมุมหนึ่งก็ทำให้เรานึกถึงคุณงามความดีของนายปรีดี พนมยงค์ขึ้นมาได้ว่า หากไม่มีนายปรีดีในตอนนั้น สยามประเทศคงไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่บุญบารมีของพสกนิกรมาถึงปัจจุบันนี้ได้
***ประวัติศาสตร์ 2475 จึงเป็นการการันตีได้ว่า อาณาจักรรัตนโกสินทร์และสกุลวงศ์ของราชวงศ์จักรีนั้น ตั้งแต่ในหลวงร.1-ในหลวงร.10 ถึงในปัจจุบันนั้น ทรงมีพระปณิธาณที่แกล่วกล้าว่า "ทรงอุทิศตนทำงานปิดทองหลังพระและเสียสละเพื่อราษฏรของพระองค์ทุกพระองค์จริงๆ"
****ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ทุกยุคทุกสมัยของราชวงศ์จักรี ล้วนมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงรักราษฏรจริงๆ
*****ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า หากครานั้นในหลวง ร.7 ทรงสละราชสมบัติและมอบรัฐธรรมนูญของพระองค์ให้กับราษฏร และทำได้สำเร็จ และคงถูกทัดทานจากพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ไม่เห็นด้วย จนทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมามากมายในสมัยนั้น
และคงมองว่า ในภายภาคหน้าของสยามประเทศนั้น จะขาดสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยไปไม่ได้ เพราะราษฏรและตัวแทนราษฏร จะขาดที่พึ่งทางจิตใจและเป็นขวัญกำลังใจ คู่บ้านคู่เมือง ให้ทรงสถิตอยู่คู่กับประชาชนตลอดไป เพื่อให้สยามประเทศเจริญรุ่งเรืองผาสุขตลอดไป ดั่งพระปณิธาณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงตั้งชื่อราชวงศ์จักรีขึ้นมา เปรียบเสมือนพระนารายณ์อวตารลงมาช่วยปกป้องดูแลราษฏรของพระองค์ให้มีแต่ความผาสุขไปนิจนิรันดร์
****จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลายทศวรรษ จะเห็นได้ว่าผู้ใดคิดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และดึงฟ้าสูงให้ต่ำลงดิน ผู้คนและคนในตระกูลนั้นๆ มักจะพบแต่ความวิบัติอยู่เสมอ
***โชคดีขนาดไหน ที่พวกเรามีพระมหากษัตริย์และพระบรมศานึวงศ์ทุกพระองค์ ทรงวางตัวติดดิน ใกล้ชิดราษฏร ไม่มีใครถือพระองค์สักองค์ ทรงมีแนวคิดที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ทรงใช้ชีวิตทั่วไปเหมือนราษฏร และรักราษฏรของพระองค์ทุกวัน
****มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมประทับใจอย่างมาก ของผู้ดำรงค์ตำแหน่งที่สำคัญสูงสุดท่านหนึ่งของประเทศ ที่ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิดในหลวง ร.10 ที่ท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านถูกตำหนิอย่างแรงว่า "งานดูแลความเรียบร้อย ในพื้นที่แค่นี้ยังทำกันไม่ได้ แล้วจะมีหน้าไปทำงานรับใช้ประชาชนให้มีประสิทธิภาพได้อย่สงไร"
ท่านพูดแบบหน้าเสียเลย แต่คนฟังอย่างผมนี่ หัวใจพองโตเลย เห็นได้ว่าพระองค์ทรงรักราษฏรของพระองค์มากจริงๆ มักจะนึกถึงพสกนิกรของพระองค์ท่านอยู่เสมอ.
เดชา นฤนารท .
8/4/67 11.15 น.
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย