11 เม.ย. เวลา 03:44 • ปรัชญา
คุณตั้งคำถามแบบด่วนสรุป ดังนั้นคำถามลักษณะนี้ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคำถามจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ด้วยนะคะ อย่าลืมว่าบรรดาจิตแพทย์ รักษาผู้ป่วยผ่านองค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎี และทฤษฎีทั้งหลายก็เกิดจากการตั้งสมมติฐาน สมมิตฐานเกิดจากการเฝ้าสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่ง กว่าจะสรุปเป็นทฤษฎีได้ ก็ต้องเกิดจากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มคนจำนวนหนึ่งบนโลกเท่านั้นเองค่ะ
หากพวกเราบอกว่า พวกที่นั่งกรรมฐานแล้วบอกวาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้อย่างนี้ คือพวกวิปลาสฟั่นเฟือน ก็ต้องระมัดระวังว่า นี่ก็อาจเป็นคำกล่าวของคนฟั่นเฟือนด้วยเหมือนกัน เพราะเหตุว่า มนุษย์ทุกคน รู้จักคุ้นเคยกับสภาวะ "ฝัน" เมื่อใครมาเล่าให้คุณฟังว่า เขาฝันว่าอย่างนั้นอย่างนี้ คุณย่อมจะเชื่อเขาแน่นอน อย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? คำถามคือ ทำไมเราเชื่อ ว่าเขาฝันอย่างนั้นจริงๆ ? สรุปพวกเราฟั่นเพือนกันทุกคนนั่นแหละค่ะ
เราเคยเล่าประสบการณ์ตรงไว้ในกระทู้หนึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นของเราที่อยากฝึกพระกรรมฐานเกิดจากการฟังบทสัมภาษณ์ พระภาสกร ภาวิไล (บุตรชายศจ.ดร.ระวี ภาวิไล) กับคำถามที่ว่า " นรกมีจริงหรือไม่?" ท่านตอบว่า "ตอนคุณหลับคุณเคยฝันหรือไม่ แล้วหากคุณตาย คุณรู้ได้อย่างไร ว่าคุณจะไม่ฝัน" คำถามนี้อาจเรียกว่าเป็นคำถามตื่นรู้สำหรับเราเลยทีเดียว
ที่ผ่านมา การฝึกสมาธิของเรา เต็มไปด้วยความขี้เกียจ และปวดเมื่อยเนื้อตัว เราถามตัวเองในใจว่า นั่งไปทำไม นั่งจนขี้เกียจจะนั่ง จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เราไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเข้าวันที่ 3 วันนั้นเราเบื่อหน่ายมาก แถมง่วงสัปหงกตลอดเวลา เราตั้งใจว่าวันนี้จะนั่งหลับไปเลยแล้วกัน มันไม่ไหวแล้ว จนกระทั่งเราจำได้ว่าเราหลับทั้งยังนั่งไปจริงๆ แล้วเราก็ตื่น (ตื่นในทีนี้ คือเรามีสติ รู้ว่าเราตื่นจากหลับ รุ้สึกสดชื่นเบิกบานใจมาก)
แต่ตอนที่เราตื่น มันไม่ใช่ตื่นธรรมดา เราพบว่าภายในร่างกายเรากลวง ไม่มีอวัยวะใดๆภายในร่างกาย แต่มีแสงดวงหนึ่ง เย็นตาอยู่ตรงกลางร่างกาย มันเปล่งรัศมีแต่นิ่งอยู่ตรงกลาง ความรู้สึกตอนนั้นคือเราตกใจเล็กน้อย แต่ยังมีสติ แล้วก็เพ่งมันอยู่ ชั่วเวลาเดียว มันหายไป เราก็กลับมารู้เนื้อรู้ตัว รู้ว่ามีแขนมีขา มีหัวใจปอด แล้วเราก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์ เคาะกระดิ่ง แล้วพูดว่า ให้ค่อยๆลืมตา เพื่อออกจากสมาธิช้าๆ
และประสบการณ์อีกครั้งหนึ่งก็คือ รู้สึกได้ว่าร่างกายขยายขนาด และมีอาการโยกโคลงเคลง อันนี้ชัดเจนมาก ทั้งหมดนี้เราถามพระอาจารย์ ท่านก็ได้แต่บอกว่า มันคือสภาวะธรรม และหากท่านบอกว่ามันคือ สภาวะธรรม เราคิดว่า มันก็ควรจะแปลว่า "สภาวะสัจจะ" ด้วย แต่เพราะสภาวะเหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ อย่างแท้จริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก็แค่นั้นเอง
ส่วนเรื่องถอดจิต ไปนรกหรือสวรรค์
มันก็อาจเป็นสภาวะอย่างหนึ่งนั่นแหละ
แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
เราก็แค่ไม่ไปยุ่งสุงสิงกับสิ่งเหล่านี้
ก็เท่านั้นเองค่ะ
2
โฆษณา