12 เม.ย. เวลา 08:15 • ความคิดเห็น
ลองอ่านสิ่งที่พระท่านสอนดูค่ะ
“ศรัทธา”กับ”ปัญญา”
ต้องเสริมกัน ต้องคู่กัน ต้องปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์
”ศรัทธา” เป็นความเชื่อ
ใจโน้มไปมีความซาบซึ้งอะไรต่ออะไรได้ง่าย
“ศรัทธา” มีข้อดีคือ ทำให้จิตใจมีพลัง
คนมีศรัทธาเชื่ออะไรก็มีกำลังในเรื่องนั้น ถ้าไม่มีศรัทธาก็หมดแรงทันที เพราะฉะนั้นจึงสำคัญมาก
แต่ศรัทธานี้ท่านว่าต้องมีตัวหนุนคือ”ปัญญา”
“ปัญญา”เป็นตัวที่ทำให้มีเหตุมีผล ทำให้รู้ ความถูกต้อง ความสมควร ความเหมาะสม ความจริงหรือไม่จริง รู้สิ่งที่แท้ สิ่งที่เท็จ สิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูก
“ศรัทธา” เชื่อดิ่งซาบซึ้งไปได้ง่ายๆ
ถ้าไม่มี “ปัญญา” ประกอบก็จะเชื่อหลงๆไหลๆไปเลย แล้วมีกำลังก็ไปทำตามที่เชื่อ
อาจจะมีกำลังในการทำสิ่งที่ร้าย แม้แต่เบียดเบียนกัน เช่นในศาสนาต่างๆที่เอาแต่ศรัทธา
คนมีกำลังผลักดันใจแรงมาก ทำให้สามารถแม้แต่ไปฆ่าคนศาสนาอื่น หรือทำสงครามศาสนากันก็ได้
ท่านจึงเตือนว่าต้องระวัง
“ศรัทธา”ต้องมี “ปัญญา” คุม แต่ถ้าไม่มีศรัทธามีแต่ปัญญาก็เป็นปัญหา
เจ้าปัญญานี้ รู้โน่น รู้นี่ แต่บางทีไม่เอาจริงเอาจังสักอย่าง เรียกว่าปัญญาจับจด เรื่องนี้ก็รู้เรื่องนั้นก็รู้ ไม่เอาจริงสักเรื่องหนึ่ง ก็เสียอีก
แต่พอมีศรัทธาแล้วทำให้จับแน่นและพุ่งดิ่ง เพราะศรัทธาเป็นตัวจับและเป็นตัวพุ่งดิ่งไปในเรื่องนั้น
พอเราศรัทธาในเรื่องใด ใจเราก็พุ่งดิ่งไปในเรื่องนั้นทั้งมีกำลังทั้งมีทิศทางชัดเจน
พอมีทิศทาง ปัญญาที่จะศึกษาเรื่องนั้น ก็เจาะดิ่งไป
ในเรื่องนั้น “ปัญญา”กับ”ศรัทธา”ก็เสริมกัน
ศรัทธาในเรื่องไหน ปัญญาก็พิจารณาจริงจังในเรื่องนั้น
เช่น ศรัทธาในธรรมข้อไหนก็ใช้ปัญญาศึกษาธรรมข้อนั้นอย่างจริงจัง
“ศรัทธา”จึงมาเสริม”ปัญญา” ทำให้ปัญญามีทิศทางชัดเจนเอาจริงเอาจังแน่นแฟ้นและมีกำลังมาก จนกระทั่งประสบความสำเร็จ
จึงต้องมีคู่กัน
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์( ป.อ.ปยุตโต)
“ศรัทธา” กับ “ปัญญา”
ลักษณะของ “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา
.
…. “มีปราชญ์ท่านหนึ่งพูดไว้น่าฟัง ท่านเปรียบเทียบระหว่าง “ศรัทธา” กับ “ปัญญา” หรือ ระหว่าง ความเชื่อ กับ การเห็นความจริง
…. เหมือนอย่างว่า..อาตมภาพนี้ กำมือขึ้นมาแล้วก็ตั้งคำถามว่า โยมเชื่อไหม? ในมือของอาตมานี่มี ดอกกุหลาบอยู่ดอกหนึ่ง
พออาตมาถามอย่างนี้ โยมก็คงจะคิดว่า เอ! เชื่อดีไหมหนอ? บางท่านก็ว่า อ๋อ! องค์นี้เรานับถือเชื่อทันทีเลยไม่ต้องคิด หรืออาตมภาพอาจจะมีมือปืนไว้บังคับว่า ถ้าไม่เชื่อจะยิงตายเลย อย่างนี้ก็จำใจ ใจเชื่อหรือไม่เชื่อแต่ปากก็บอกว่าเชื่อ
…. ทีนี้ สำหรับบางท่านก็จะคิดว่า เออ! เชื่อได้ไหมนะ? ขอคิดดูก่อน
ท่านองค์นี้มีประวัติมาอย่างไร เป็นคนพูดจาขล่อกแขล่กหรือเปล่า? น่าเชื่อไหม?
อือ! องค์นี้ท่านไม่เคยพูดเหลวไหลนะ! เท่าที่ฟังมาท่านก็พูดจริงทุกที ท่าจะน่าเชื่อ นี่เรียกว่า..เอาเหตุผลในแง่เกี่ยวกับประวัติบุคคลมาพิจารณา
…. แต่บางท่านก็มองในแง่ของเหตุผลแวดล้อมอย่างอื่นว่า
เป็นไปได้ไหม? มือแค่นี้จะกำดอกกุหลาบได้
เอ! ก็เป็นไปได้นี่
แล้วก็พิจารณาต่อไปอีกว่า
ท่านนั่งอยู่ในที่นี้จะมีดอกกุหลาบมาให้กำได้หรือเปล่า? ท่านจะเอามาจากไหนได้ไหม? ท่านเดินผ่านที่ไหนมาบ้าง? อะไรต่างๆ ทำนองนี้ ก็คิดไป
ในตอนนี้ก็จะเป็นการพิจารณาด้วยเหตุผลว่าเป็นไปได้ไหม?
…. ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่า “ศรัทธา” ของคนหลายคนนั้นต่างกัน
ของบางคนเป็นศรัทธาที่เชื่อโดยไม่มีเหตุผลเลยงมงาย บอกให้เชื่อก็เชื่อ
บางคนก็เชื่อเพราะถูกบังคับ
บางคนก็เชื่อโดยใช้เหตุผล
แต่การใช้เหตุผลก็มากบ้างน้อยบ้าง ไม่เท่ากัน
แต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในระดับของ “ศรัทธา” หรือความเชื่อทั้งนั้น
ไม่ว่าจะแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นที่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าอาตมภาพนี่มีดอกกุหลาบอยู่ในกำมือ โยมก็คิดเอาเองว่าจะเชื่อไหม?
.
…. ทีนี้ สุดท้ายอาตมภาพก็แบมือ
พอแบมือออกมาแล้วเป็นอย่างไร โยมก็เห็นเลยใช่ไหม เห็นด้วยตาของโยมเอง ว่าในมือของอาตมภาพนี่มีดอกกุหลาบหรือไม่
ตอนนี้ไม่ต้องพูดเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่ออีกแล้ว ใช่หรือเปล่า มันคนละขั้น
…. ปัญหาความเชื่อมันอยู่ที่ตอนยังกำมืออยู่
แต่ตอนแบมือแล้ว เห็นด้วยตาแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องความเชื่อ มันเป็นเรื่องของการประจักษ์ว่ามีหรือไม่มี?
.
….เพราะฉะนั้น จึงได้บอกว่า
พระอรหันต์ท่านถึงขั้นที่เห็นความจริงประจักษ์เองแล้ว จึงไม่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ
แต่สำหรับปุถุชนก็ยังต้องอยู่กับความเชื่อ
จะต่างกันก็ตรงที่ว่า..เป็นความเชื่อที่มีเหตุผล หรือ ไม่มีเหตุผล มี“ปัญญา”ประกอบ หรือ ไม่มี
…. สำหรับพุทธศาสนิกชนนั้น
เราต้องการเข้าถึงความจริงที่ประจักษ์ ที่ไม่ต้องเชื่ออีกต่อไป
แต่ระหว่างนี้ ในขณะที่เรายังไม่เข้าถึงความจริงนั้น
เราใช้ความเชื่อชนิดที่มีเหตุผลมาเป็นเครื่องมือ เพื่อจะเข้าถึงความจริงที่ไม่ต้องเชื่อต่อไป เราไม่ต้องการความเชื่อชนิดที่งมงาย
…. ฉะนั้นเราจะต้องมีหลัก เมื่อเรามีหลักในใจแล้วก็จะเป็นคนมีเหตุผล ไม่งมงาย ไม่ตื่นตูมแกว่งไกวไป
นี่เป็นลักษณะของ “ศรัทธา” ในพระพุทธศาสนา”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “เมืองไทยจะวิกฤต ถ้าคนไทยมีศรัทธาวิปริต”
“ปัญญาและศรัทธาเสมอกัน”
ถาม: ลักษณะของปัญญาและศรัทธาเสมอกัน เป็นแบบไหนเจ้าคะ
พระอาจารย์:
อ๋อ ศรัทธาเป็นเรื่องของความเชื่อไง เหมือนคนตาบอดที่ยังไม่ได้ลืมตาก็ต้องเชื่อคนที่ตาดีเรียกว่า..ศรัทธา
พอคนตาบอดเอาผ้าที่ปิดตาออกได้ก็เห็นสิ่งเดียวกับที่คนตาดีเห็น ก็ไม่ต้องศรัทธาเพราะมีปัญญาแล้ว คนที่มีปัญญาก็ไม่ต้องใช้ศรัทธาเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะมีปัญญาเห็นคำสอน เข้าใจคำสอนได้ ก็ไม่ต้องเชื่อ
ปัญญา..
เป็นเหมือนกับการเปิดตาของคนที่ถูกปิดตาเอาไว้ ถ้ายังถูกปิดตาไว้ ก็ต้องใช้ศรัทธาเชื่อคนที่ตาดีไปก่อน
แต่พอเอาผ้าที่ปิดตาออกได้ มองเห็นสิ่งต่างๆ เหมือนกับคนตาดีเห็นแล้ว ก็ไม่ต้องอาศัยคนตาดีมาสอนมาบอก เราก็เรียกว่าปัญญา
คนที่มีปัญญาก็ไม่ต้องใช้ศรัทธา
คนที่ยังไม่มีปัญญาก็ต้องอาศัยศรัทธาความเชื่อในปัญญาของคนอื่นไปก่อน
พอมีปัญญาของตนเองแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ศรัทธาเชื่อคนอื่นอีกต่อไป
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา