7 พ.ค. เวลา 14:30 • ธุรกิจ

ทำความรู้จักกับ C-Suite

เชื่อว่าหลายคนเคยได้ยินคำว่า C-Suite หรือคุ้นเคยกับชื่อนี้กันอยู่แล้ว
C-Suite หมายถึงกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัท พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่วางแผนให้บริษัทดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันและประสบความสำเร็จในอนาคต การเข้าประชุมของ C-Suite เป็นการประชุมที่ทำให้ทุกแผนกปรับตัวเข้าหากันและทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่นเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
การที่จะเป็น C-Suite ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่ฉลาด ปรับตัวได้ว่องไว และสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ นอกจากนี้อาจจะต้องมีทักษะเฉพาะทางสำหรับสายงานบางสายงานด้วย เช่น การเงินสำหรับ CFO (Chief Financial Officer) หรือการตลาดสำหรับ CMO (Chief Marketing Officer)
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง C-Suite ในบริษัทสตาร์ทอัพ Startup และบริษัทมหาชนในบริบทของประเทศไทยเรา ในที่นี้จะขอเรียกว่า Public company จึงได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติม เราลองมาพิจารณาความแตกต่างกันดู
  • ​การโฟกัส: Startup จะโฟกัสที่นวัตกรรมและการเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วน Public company จะเน้นย้ำประสิทธิภาพและมูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ผู้นำมุ่งเน้นให้บริษัทดำเนินงานอย่างราบรื่น บรรลุเป้าหมายทางการเงิน และปฏิบัติตามกฎระเบียบ
  • ​ประสบการณ์: Startup อาจจะมีประสบการณ์น้อยกว่า แต่ทดแทนด้วยความมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง และความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วน Public company โดยทั่วไปจะมีพนักงานมีประสบการณ์มากมายในสาขาของตนเอง และมีผลงานที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
  • ​ขนาดของทีม: Startup พนักงานมีจำนวนไม่มาก ดังนั้นสมาชิก C-Suite อาจมีบทบาทที่ลงมือปฏิบัติจริงมากขึ้นและทำงานร่วมกับพนักงานทุกคนอย่างใกล้ชิด ส่วน Public company มีพนักงานจำนวนมาก มีบทบาทที่ชัดเจนมากขึ้น ผู้นำ C-Suite บริหารงานผ่านรองประธาน และตำแหน่งที่ลดหลันกันลงมา ไม่ได้ใกล้ชิดกับพนักงานทุกคน
  • ​การตัดสินใจ: เนื่องจาก Starrup จำเป็นต้องปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจจึงรวดเร็วและยืดหยุ่นตามไปด้วย ส่วน Public company จะมีระบบระเบียบมากขึ้นและเน้นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ การตัดสินใจอาจใช้เวลานานขึ้น
  • ​เงินเดือน: เงินเดือนของ Startup ฐานเงินเดือนต่ำกว่า แต่มีสิทธิ์ถือหุ้นในบริษัท ซึ่งอาจมีมูลค่ามากถ้าบริษัทประสบความสำเร็จ ในขณะที่ Public company ฐานเงินเดือนสูงกว่าและมีโบนัสที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงสิทธิ์ซื้อหุ้นของบริษัทด้วย
ต่อไปเรามาดูตำแหน่งงานบางส่วนใน C-Suite กันว่ามีอะไรบ้าง
  • 1.
    ​CEO (Chief Executive Officer): หัวหน้าองค์กรทั้งหมด กำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยรวมสำหรับองค์กร
  • 2.
    ​CFO (Chief Financial Officer): ดูแลด้านการเงินของบริษัท ครอบคลุมการวางแผนการเงิน การบัญชี และการจัดสรรงบประมาณ
  • 3.
    ​COO (Chief Operating Officer): ดูแลการส่งมอบผลิตภัณฑ์ การดำเนินงานรายวัน และบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
  • 4.
    ​CMO (Chief Marketing Officer): ผู้นำด้านการตลาด และสร้างแบรนด์
  • 5.
    ​CIO (Chief Information Officer): ดูแลโครงสร้างพื้นฐานและระบบเทคโนโลยีของบริษัท
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อยติดตามเราได้ใหม่ในบทความถัดไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา