14 เม.ย. เวลา 20:49 • นิยาย เรื่องสั้น
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

💐🙏🌹🙏🌺🙏💮🙏🏵️🙏🪷🙏🌷🙏🌼🙏🌻🪻

ให้เธอเฝ้ามอง"ความตาย"ด้วยรัก
ว่าสักวันคงต้องมาถึง
"ความพลัดพราก"เป็นเพียงเรื่องหนึ่งซึ่งธรรมดา
ก่อนกายสลายหรือตายจากนี้
หนึ่งชีวิตที่มีต้องรู้ค่า
ให้ทุกลมหายใจที่เกิดมา
ใช้ปัญญาเพื่อการดับทุกข์ให้ตายลงในหัวใจ
จะเพียรผ่านทุกการร่ำลาด้วยความเข้าใจ
จะไม่จมทะเลน้ำตา...อีกต่อไป
พระนางปฏาจาราเถรี"สตรีบ้าผู้บรรลุธรรม"
🪷เดิมนางเป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสาวัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี นางเป็นหญิงมีความงดงามมาก บิดามารดารักใคร่ทะนุถนอมห่วงใย อยากให้นางได้แต่งงานกับคนดีๆ
แต่นางกลับมีจิตพิศวาสกับบ่าวรับใช้ในบ้านของตน ต่อมาบิดามารดาของนาง ได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน เมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับบ่าวรับใช้ ผู้เป็นสามีว่า“ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่ แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด”
🪷เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายคนรับใช้ ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้ไปรออยู่ข้างนอก แล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกัน ในตำบลหนึ่ง ซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไป ตามอัตภาพ นางต้องตักน้ำ ตำข้าว หุงต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำมาก่อน
🪷กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้น นางจึงอ้อนวอนสามีให้พา นางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะเป็นธรรมเนียมของชาวอินเดียสมัยก่อน แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไป เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ นางจึงออกเดินทางไปตามลำพัง เมื่อสามีนางทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตาม ไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไร นางก็ไม่ยอมกลับ นางก็เกิดอาการปวดท้องใกล้คลอด จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือก ทุรนทุรายเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุด ก็คลอดบุตรออกมาด้วยความยากลำบาก เมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอดที่เรือนของบิดา มารดานั้น ก็สำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านเรือนอยู่รวมกันต่อไป
🪷ต่อมาไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับ นางจึงอ้อนวอนสามีเหมือน ครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรก หนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะตามมาทัน อ้อนวอนให้นางกลับ นางก็ไม่ยอมกลับ จริงใจอ่อนยอมเดินทางไปกับนางด้วย ระหว่างทาง เกิดลมพายุพัดอย่างแรง และฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้น นางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้น มาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้ เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น
🪷เมื่อรุ่งอรุณแล้ว เมื่อเห็นว่าสามียังไม่กลับมา จึงอุ้มลูกคนเล็กแลัจูงลูกคนโต ออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก จึงร้องไห้รำพันว่า สามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนา ก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจ ไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโตเดินไปด้วยความทุลักทุเล เพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนัก ดูน่าสังเวชยิ่งนัก
 
🪷ต่อมางานก็ได้เดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่ง เนื่องจากฝนตกหนัก เมื่อคืนที่ผ่าน มา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้ เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น แต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนัก พอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโต รออยู่ก่อนแล้ว อุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้ว ได้นำใบไม้มาปูรองพื้น ให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาด แล้วกลับ ไปรับลูกคนโต ด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดิน พลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง
🪷 ขณะที่มาถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่ง บินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มี ลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาเฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ ตามเหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็นอาหาร ส่วนลูกคนโต ยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสอง ตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ ก็ เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำ ด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำ พัดพาจมหายไป
🪷เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสอง ตายจากนางไปหมดแล้ว เหลือแต่นางคนเดียวนางจึงเดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปตลอดทาง แต่ถึงกระนั้นนางยังพอมีสติอยู่บ้าง ได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถาม ทราบว่า มาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตน ที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า“น้องหญิง เมื่อคืนนี้ เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนัก เศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชายอีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตน พังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัว เธอเห็นควันไฟตรงโน้นมั้ย ชาวบ้านเขาร่วมกัน ทำการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน”
🪷พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้ว สติของนางก็ขาดผึงลงไม่รู้สึกตัวว่า ผ้านุ่งผ้าห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริต ร้องไห้บ่นพร่ำรำพัน เซซวนคร่ำครวญว่า “บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายของ เราก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน” นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วย ก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไป อย่างไร้จุดหมายปลายทาง
🪷ขณะนั้น พระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทราบด้วยพระฌานว่า นางปฏาจารามีอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ จึงบันดาลให้นางเดินทางมายังวัดพระเชตวัน นางได้เดินมายืนที่เสาศาลาโรงธรรม หมู่คนทั้งหลายปากแตกตื่นและพากันขับไล่นางให้ออกไป แต่พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้ แล้วตรัสกับนางว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง”
🪷ด้วยพุทธานุภาพ นางกลับได้สติในขณะนั้นเอง มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่ รู้สึกอายจึงนั่งลง อุบาสกคนหนึ่งโยนฝ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระศาสดาที่พระบาท แล้วกราบทูลเคราะห์กรรมของนาง ให้ทรงทราบโดยลำดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสว่า“แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศกครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่”
🪷เมื่อนางได้ฟังพระดำรัสนี้แล้ว ก็คลายความเศร้าโศกลง พระบรมศาสดา ทรงทราบว่านาง หายจากความเศร้าโศกลงแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า “ปฎาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทาน หรือเป็นที่ป้องกันแก่ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลาย รักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น”
🪷เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางปฏาจารา ดำรงอยู่ในโสดาปัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันแล้ว จึงกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้ว จึงบวชเป็นภิกษุณี ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
🪷เมื่อนางปฏาจาราได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าเป็นพระเถรี ผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระวินัย เป็นอย่างดี อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายในฝ่ายผู้ทรงพระวินัย
*ภาพนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก MV เพลง "เรามีความพลัดพรากเป็นธรรมดา" ของproject "ปทุมมามหาสิกขาลัย" วัดปทุมวนาราม ขับร้องโดย ปาน ธนพร
โฆษณา