14 เม.ย. เวลา 20:51 • ปรัชญา
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

❤️🙏❤️🙏❤️🙏❤️🙏❤️🙏❤️🙏❤️🙏❤️🙏❤️🙏

รินน้ำตาท่วมท้น
ความทุกข์ทนไม่หายไป
จงรู้ตื่นจากเศร้าโศกเสียใจ
มองให้ทันการจากลา
เวียนว่ายตายเกิดนั้น
เกินต้านทานไม่ว่าใคร
จงเห็นทางหลุดพ้นอย่างเข้าใจ
มองให้ทันการจากลา
ความทุกข์โศกที่ยึดเหนี่ยวหัวใจ
ย่อมผ่อนเบาเมื่อเราปล่อยวางทุกอย่าง
เท่านั้น
 
🙏พระกีสาโคตมีเถรี🙏
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
"พระกีสาโคตมีเถรี" ถือกำเนิดในวรรณแพศย์ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาตั้งชื่อให้นางว่า“โคตมี” แต่เพราะความที่นางเป็นผู้มีรูปร่างผอมบอบบาง คนทั่งไปจึงพากันเรียกนางว่า“กีสาโคตมี”
ต่อมาเมื่อนางโคตมีได้เจริญวัยขึ้น พ่อแม่จึงให้นางแต่งงาน นางได้อยู่ร่วมกับสามีจนมีบุตรหนึ่งคน ในขณะที่บุตรของนางอยู่ในวัยพอเดินได้เท่านั้น มัจจุราชก็ได้มาพรากชีวิตบุตรของนางไป นางโศกเศร้าเสียใจมาก จึงห้ามมิให้คนนำบุตรของนางไปเผาหรือไปทิ้งในป่าช้า แล้วอุ้มร่างบุตรชายที่ตายแล้วนั้น เที่ยวเดินถามตามบ้านเรือนต่าง ๆ ว่ามียารักษาบุตรของนางบ้างหรือไม่ คนทั้งหลายพากันคิดว่า “นางคงจะเป็นบ้า จึงเที่ยวหายารักษาคนตายให้ฟื้น”
อุบาสกผู้มีปัญญาคนหนึ่งเห็นกิริยาของนางแล้วก็คิดว่า “นางคงจะมีบุตรคนแรกจึงรักบุตรมาก และคงจะไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไร เราควรจะแนะนำทางให้นางดีกว่า” อุบาสกผู้นั้นจึงกล่าวกับนางว่า“แม่หนู ฉันเองไม่รู้จักยารักษาลูกของเธอหรอก แต่พระสมณโคดม ขณะนี้ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พระองค์ท่านรู้จักยาที่รักษาลูกของเธอได้” นางรู้สึกดีใจที่ทราบว่ามีคนสามารถรักษาลูกน้องของนางให้หายได้ จึงอุ้มลูกน้อยรีบมุ่งหน้าตรงไปยังพระวิหารเชตวัน เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วทูลถามหายาที่จะมารักษาลูกของนางให้หายได้
พระพุทธองค์จึงทรงมีรับสั่งให้นางไปหาเมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาเป็นเครื่องปรุงยา แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่ได้จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมก่อนเท่านั้นจึงสามารถใช้เป็นเครื่องปรุงยาได้
เมื่อนางได้ยินที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเช่นนั้น นางมีความดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบอุ้มร่างลูกน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน ออก
ปากขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดตั้งแต่บ้านหลังแรกเรื่อยไป ปรากฏว่าทุกบ้านมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งนั้น แต่พอถามว่าที่บ้านนี้เคยมีคนตายหรือไม่ เจ้าของบ้านต่างก็ตอบเหมือนกันอีกว่า “ที่บ้านนี้ คนที่ยังเหลืออยู่นี้น้อยว่าคนที่ตายไปแล้ว” เมื่อทุกบ้านต่างก็ตอบอย่างนี้ นางจึงเข้าใจว่า “ความตาย"นั้นเป็นอย่างไร และคนที่ตาย ก็มิใช่ว่าจะตายเฉพาะลูกของเธอเท่านั้น ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย
เหมือนกันหมด” เมื่อนางสงบใจและได้สติเช่นนี้ จึงฝังร่างลูกน้อยไว้ในป่าแล้ว กลับไปกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ข้าแต่พุทธะ ข้าไม่สามารถจะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านเรือนที่ไม่เคยมีคนตายได้”
พระพุทธองค์ได้สดับคำกราบทูลของนางแล้วตรัสว่า
“โคตมี เธอเข้าใจว่าลูกของเธอเท่านั้นหรือที่ตาย อันความตายนั้นเป็นของธรรมดาที่มีคู่กับสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลก เพราะว่ามัจจุราชย่อมฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยเต็มเปี่ยมไปด้วยกิเลสตัณหา ให้ลงไปในมหาสมุทรคือ อบายภูมิ อันเป็นเสมือนว่าห้องน้ำใหญ่ ฉะนั้น”
เมื่อนางได้ฟังพระดำรัสของพระบรมศาสดาจบลงก็ได้บรรลุอริยผลดำรงอยู่ในพระโสดาบัน แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดารับสั่งให้ไปบรรพชาในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ นางบวชแล้วได้นามว่า “กีสาโคตมีเถรี”
วันหนึ่งพระเถรีได้ไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่ลุกโพลงขึ้นแล้วหรี่ลงสลับกันไป นางจึงถือเอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์ กรรมฐานว่า “สัตว์โลกก็เหมือนกับแสงประทีปนี้ มีเกิดขึ้นและดับไป แต่ผู้ถึงพระนิพพานไม่เป็นอย่างนั้น”
ขณะนั้น พระผู้มีประภาคประทับอยู่ภายในพระคันธกุฎิ ทรงทราบด้วยพระญาณว่านางกำลังยึดเอาเปลวดวงประทีปเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏประหนึ่งว่า พระองค์ประทับนั่งตรงหน้าของนางแล้วตรัสว่า
“อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นและดับไป เหมือนเปลวดวงประทีปนี้ แต่ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียวของผู้เห็นพระนิพพาน ย่อมประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานนั้น”
เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดำรัส นางก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ดำรงตนเป็นพระเถรีผู้เคร่งครัดในการใช้สอยบริหาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวรที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมองเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงได้ประทานแต่งตั้งพระกีสาโคตมีเถรีนี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย "ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง"
โฆษณา