20 เม.ย. เวลา 02:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🇺🇸 เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นสหรัฐฯในสัปดาห์ที่ผ่านมา‼️

(รูปแรก) ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน หลัง sentiment นักลงทุนยังคงแย่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเผชิญกับปัจจัยกดดันรอบด้านตั้งแต่ 1. เรื่องอิสราเอล-อิหร่าน 2. เงินเฟ้อสูงกว่าคาด 3. เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยช้าลง 4. Guidance ของหุ้น Semi ออกมาผิดหวัง 5. Bond Yield เด้ง
1
อย่างไรก็ตามขนาดของการปรับตัวลงยังถือว่าไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับการปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ ดังนั้นการปรับฐานจึงเป็นเรื่องปกติของตลาดขาขึ้น อย่างที่นิคกี้เคยบอกอยู่ตลอดๆ จนตอนนี้ S&P500 เข้าใกล้สู่โซน Oversold แล้วนั่นเอง (รูปที่ 2)
2
ดังนั้นในช่วงนี้ตลาดหุ้นถือว่าสามารถยืนอยู่ได้ดีมากๆ เหมือนดูจากปัจจัยที่รุมเร้าเข้ามารอบด้านจนแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุหลัก
ถ้ามาดูทีละข้อ เริ่มจากตะวันออกกลางก่อน เราอาจจะพอบอกได้คร่าวๆว่าตลาดรับข่าวเรื่องอิสราเอล-อิหร่านไปเยอะแล้ว เพราะราคาน้ำมันปรับตัวกลับลงมาเรียบร้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงยังมีอยู่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดการยิงกันอีกไหม (แต่เดี๋ยวสุดท้ายคนจะชินไปเองเหมือนรัสเซีย-ยูเครน)
1
ข้อสอง เงินเฟ้อสูงกว่าคาด เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจาก CPI ออกมาสูงกว่าคาด 3 เดือนติดต่อกัน ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามองแล้วว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มลงยากมากขึ้นหลังจากนี้ และเริ่มปรับลดการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยจาก 6 ครั้งเมื่อตอนต้นปี มาเหลือไม่ถึง 2 ครั้งในปีนี้ นับการเป็น reverse ครั้งมหาศาลเช่นกัน อย่างไรก็ตามตลาดเพิ่งจะมาสนใจประเด็นดังกล่าวในเดือนนี้เท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้หุ้นก็ยังขึ้นมาได้ตลอดเพราะตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการแข็งแกร่ง
1
นอกจากนี้เงินเฟ้อที่เฟดให้ความสนใจจะเป็นตัวเลข PCE ซึ่งมีการให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อในหมวดที่อยู่อาศัยน้อยกว่า CPI เยอะ ทำให้ตัวเลข PCE จะดูไม่แย่เหมือนกับ CPI นั่นเองค่ะ และตัวเลข PCE เดือนมีนาคมจะประกาศในสัปดาห์หน้า
4
ข้อสาม เฟดเริ่มออกมารับลูกมากขึ้น โดยการให้สัมภาษณ์ของกรรมการเฟดออกมาในแนวทางเดียวกันคือ เงินเฟ้อปรับตัวลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และดอกเบี้ยจะ Higher for Longer ไปอีกซักพัก โดยมีกรรมการบางคนไปไกลถึงการบอกว่า เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยเลยในปีนี้นั่นเองค่ะ แต่ถามว่าตลาดแปลกใจกับเรื่องนี้ไหม ก็ต้องบอกว่าไม่เท่าไหร่ เพราะตลาดทำใจมาซักพักแล้วว่าเฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ย
ข้อที่สี่ เราเห็นการประกาศงบของหุ้นชิปหลักๆออกมา 2 ตัวคือ TSMC กับ ASML ซึ่งแม้ผลประกอบการจะดูดีก็ตาม แต่ตลาดไปโฟกัสที่ Guidance ของไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งมีการปรับลดลงทั้งคู่ ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์บานปลายไปยังหุ้นชิปตัวอื่นๆ โดยเฉพาะพี่ใหญ่อย่าง NVIDIA
8
นอกจากนี้กลุ่มชิปแล้ว ยังมี Netflix ที่ผลประกอบการดี แต่ Guidance ออกมาผิดหวังเช่นกัน แถมด้วยบอกอีกว่าจะเลิกประกาศตัวเลขผู้ใช้งานในปีหน้า ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคฯโดนเทขายไปด้วย
ส่วนสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศงบของ Tesla, Meta, Microsoft, Alphabet และ Intel ซึ่งจะเป็นตัวเข้ามาชี้ชะตาว่าหุ้นเทคฯจะฟื้นได้หรือไม่ (อาจจะยกเว้น Tesla ไปหนึ่งคน เพราะงบน่าจะไม่ดีค่ะ)
2
ข้อที่ห้า คือเรื่องของ Bond Yield เด้ง นั่นเองค่ะ ซึ่งสาเหตุของ Yield เด้งมาจากเหตุผลในข้อ 2 และ 3 ซึ่งอย่างที่นิคกี้เคยเล่าไปในโพสต์ก่อนๆว่าการที่ Yield เด้งขึ้นมา ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตรากำไรของหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร/ตราสารหนี้น้อยลงนั่นเอง ซึ่งถ้าเราดูจาก (รูปที่ 3) จะพบว่า Earning Yield Gap ของ S&P500 เมื่อเทียบกับพันธบัตร 10 ปี (เส้นสีขาว) และตราสารหนี้ Investment Grade (เส้นสีน้ำเงิน) นั้นน้อยที่สุดในรอบ 20 ปี
3
เมื่อเป็นแบบนี้หมายความว่าตอนนี้ ตราสารหนี้และพันธบัตรมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นแล้วนั่นเองค่ะ ดังนั้นจะมีนักลงทุนบางส่วนขายหุ้นออกไปซื้อตราสารหนี้ อย่างไรก็ตามโอกาสที่ Earning Yield Gap จะเพิ่มขึ้นนั้นก็พอมีอยู่บ้าง โดยจะขึ้นอยู่กับการประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1/24 นั่นเองค่ะ ซึ่งเราเพิ่งเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
นอกจากนี้เองจากเหตุผลทั้งข้อ 3 และข้อ 5 ทำให้หุ้นกลุ่มเทคฯที่เคยคิดว่าจะได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยแรงๆ ถูกขายออกมาเยอะเป็นพิเศษ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ underperform มากที่สุดในทุก sector (รูปที่ 4)
นอกจากนี้ในแง่ของ Valuation ของกลุ่ม Tech ในภาพรวมนั้นถือว่าแพงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่พอควรค่ะ ถึงแม้ว่าจะปรับลดลงมาบ้างแล้วก็ตาม (รูปที่ 5)
ขณะที่กลุ่ม Mag7 นั้น Valuation อาจดูมีความน่าสนใจมากกว่าในภาพรวม เพราะส่วนใหญ่อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี โดยจะมีแค่ Meta และ Microsoft ที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย (รูปที่ 6)
ดังนั้นถ้าถามว่าหุ้นกลุ่มเทคฯปรับฐานเสร็จยัง อาจจะบอกว่ามีโอกาสย่อต่อได้อีก แม้จะย่อลงมาพอสมควรแล้ว เพราะ P/E ในภาพรวมยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ ซึ่ง P/E จะลดลงได้มี 2 ทางคือ 1. ราคาร่วง กับ 2. กำไรปรับตัวขึ้น ส่วนจะเกิดแบบไหนนั้นจะอยู่ที่การประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯในสัปดาห์หน้าค่ะ ถ้ากำไรออกมาดี หุ้นเทคฯก็มีโอกาสฟื้นได้ค่ะ
สำหรับ S&P500 นั้นอาจจะดูดีกว่า เพราะจะเข้าสู่โซน Oversold อยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสเด้งได้ก่อน แถมตัว S&P500 จะมีหุ้นในกลุ่ม Value และ Cyclical เยอะ ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีในภาวะเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ซึ่งเราสามารถเห็นได้จากรูปที่ 4 แล้วว่าปรับตัวลงค่อนข้างน้อยนั่นเองค่ะ และสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศ GDP ไตรมาส 1/24 ของสหรัฐฯอีกเช่นกัน ซึ่งถ้าออกมาแข็งแกร่งตามคาด หุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ค่ะ
ดังนั้นแล้ว ผลประกอบการในสัปดาห์หน้าจะเป็นตัวตัดสินว่าหุ้นสหรัฐฯจะฟื้นหรือไม่ หรือจะติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งหลังสุดในเดือนกันยายน 2023 ค่ะ สำหรับนักลงทุนแล้ว เก็บหุ้นสหรัฐฯซัก 1 ไม้ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีนะคะ
ส่วนตราสารหนี้สหรัฐฯ ถ้าเป็นกอง hedged ค่าเงิน นิคกี้ไม่แนะนำ เพราะค่า hedged แพงมาก 3%++ ส่วน Capital Gain อาจจะหวังไม่ค่อยได้เพราะดอกเบี้ยไม่ได้ลงเร็วๆนี้แน่ๆ ดังนั้นเราจะได้แต่ Yield ซึ่งพอหักค่า hedged และค่าบริหารจัดการแล้ว อาจน้อยกว่าถือตราสารหนี้ไทยด้วยซ้ำค่ะ
Source: Bloomberg
โฆษณา