21 เม.ย. เวลา 07:00 • ความคิดเห็น
หากเรามีความรู้ความเข้าใจ ในคำว่ากรรม ในสิ่งที่พระอัสสชิ บอกพระสารีบุตรในเรื่องราว ที่ว่าสิ่งต่างๆไหมมาแต่งเหตุ สิ่งต่างๆที่ไหลมาแต่เหตุ คราวนี้จิตของเรามาอาศัยเรือนกายของคุณบิดามารดาอยู่ ธาตุทั้งสี่ที่เราเคยสะสมกรรมมา มาประกอบกับธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา บุญกุศลทำมาไว้กับธาตุทั้งสี่ สะสมมาดี ก็มาประกอบเรือนกายมนุษย์ ให้มีอาการครบสามสิบสอง หากสะสมมาไม่ได้ กายมนุษย์ก็ประกอบขึ้นมาไม่ครบอาการสามสิบสอง
เมื่อหูหนวกตาบอดมาแต่กำเนิด ก็ยากที่จะเรียนรู้อะไร ตาก็มองไม่เห็นพ่อแม่ หูก็มองไม่ได้ยินเสียงพ่อแม่ การเกิดมาได้กายมนุษย์ ก็ต้องมาเรียนรู้กันใหม่ ร้องกระแว้ๆ หัดใช่้ร่างกายมนุษย์กันใหม่ กว่าจะเดืนยืนวิ่งเล่น ไปจนทำมาหากินได้ลำแข้งตัวเอง ก็ใช้เวลา แล้วเป็นมนุษย์มันเดืนดิน จะกินจะใช้อะไร สิ่งของอะไร ก็ต้องมีการปรุงแต่ง ที่เค้าให้อารมณ์ให้สติปัญญามาปรุงแต่ง
..ส่วนมากก็ปรุงแต่ง ยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้ .ที่จะปรุงแต่งลดละ ..สลัดออกไปเป็นบุญกุศลยังยาก ฉะนั้น เมื่อเริ่มต้นได้กายมาไม่ครบอาการสามสิบสอง การดำเนินชีวิต ที่จะพึ่งตัวเองได้ ก็ยากลำบาก ต้องมีผู้ที่คอยอุปถัมภ์ค้ำชูให้ พึ่งตนเองยังยากลำบาก แล้วจะเอากายที่ครบอาการสามสิบสอง ไปยืนเดินนั่งนอน ให้จิตเป็นมัชฌิมาก็ไม่อาจจะทำได้เลย ในคำว่า เดินตามรอยของพระ สู่พระนิพพาน.
เมื่อเราสมมุติ ติดสมมุติ ในลีลาของอารมณ์นึกคิดอยู่ เราก็ลองไปปฏิบัติ หัดกระทำ เอาแค่ให้มีสมาธิอยู่กับลมเข้าออก เข้าว่า ไม่ต้องนึกคิดอะไรเลย ..ทำกายให้นิ่ง ไปนั่งดู ไหนจะไปนิพพาน เค้าว่าเรายึดถือเรือนกาย ก็นำกายไปตั้งในท่ามกลางดืนฟ้าอารมณ์ ฝนตกแดดออก ไแนั่งพับเพียบ นั่งนิ่ง จิตเฉยๆ ..แดดร้อน ก็ไปนั่งดู ว่า ..กายนี้จะสงบได้มั้ย ..เค้าว่า หากกายนี้สะสมบุญกุศลบารมีมาดี มันก็จะนั่งนิ่งๆได้ ..อย่าไปทำแค่มโนนึกคิด นั่นมันอารมณ์สมมุติ ..ต้องลงมือทำเอง เค้าว่าพึ่งตัวเอง ..
มีพระองค์หนึ่ง เป็นพระสมัย ร ๕ ท่านเป็นหัวหน้าโจร ท่านเดินมาถึง ภูเขาลูกหนึ่ง แถวลพบุรี ท่านก็ทิ้งปืน ทิ้งมีด วัตถุปัจจัยต่างๆออกไป แล้วก็บวช ท่านอธิฐาน ไม่ลืมตาดูโลกอีกเลย ..มีผู้เล่าว่า ร ๕ ท่านก็เสด็จไปกราบพระองค์นี้ ..
โฆษณา