23 เม.ย. เวลา 01:57 • ปรัชญา

: ชีวิตฉัน…

สวัสดีค่ะ ฉันในวัย 33 ปี ตอนนี้กำลังจะเริ่มงาน ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
ฉันจบคณะท่องเที่ยวค่ะ งานแรกที่เริ่มทำคือ งานห้องอาหารโรงแรมแห่งหนึ่ง สมัยนั้นเงินเดือน7,500 บาท เลือกทำเพราะชอบค่ะ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถทำงานต่อได้ ทั้งๆที่ทำงานได้เดือนกว่าๆ (ปัญหาด้านสุขภาพ)
ฉันตัดสินใจเรียนต่อ ป.โท ครอบครัวก็สนับสนุน แต่อยากจะบอกว่าท้อมาก ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองทำไม่ได้ จะขอทางบ้านเลิกเรียนหลายครั้ง ร้องไห้หลายหน แต่ก็ถูไถจนจบค่ะ
ฉันทำงานวงการทัวร์ได้ประมาณ 5 ปี เป็นงานเกี่ยวกับเสนอขายโปรแกรมท่องเที่ยว สำหรับชาวต่างชาติ รายได้ค่อนข้างดี ตกเดือนละ 12,000-18,000 บาท ฉันมีความฝันว่าอยากเป็นไกด์! ต้องบอกก่อนเลยค่ะ ว่าฉันไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย แต่ด้วยใจที่สู้ ฉันก็อาศัยการขายโปรแกรมทัวร์ พูดคุยกับฝรั่งไปเรื่อยๆค่ะ จนคิดว่าเราก็พอสื่อสารเข้าใจ
ฉันเริ่มจากไกด์เลี้ยงช้าง เพราะอยากจำกัดบทสนทนาแค่เรื่องช้างเรื่องเดี่ยวก่อน ฉันเป็นไกด์เลี้ยงช้างอยู่ 3 เดือน ก่อนจะเป็นไกด์ในเมือง ทางบริษัทให้โอกาส ในการตามทัวร์ เป็นผู้ช่วยไกด์ 1 เดือน สอบปากเปล่า จนได้ขึ้นเป็นไกด์นำเที่ยว ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจมาก…. รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และความฝันต่อไปของฉันคือ การเป็นไกด์ outbound ค่ะ คือไกด์ที่นำคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ
 
ในปี 2563 ใครจะคาดคิดว่างานที่กำลังไปได้สวยจะพักลง เพราะโรคระบาด Covid-19 ตอนนั้น ทุกคนคงทราบ คนตกงานเยอะมาก ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ฉันพยายามสมัครงานใหม่ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับ ร้านรวงพากันเลิกกิจการ ฉันที่พยายามจะหารายได้ด้วยการทำขนมขาย แต่ก็ไม่ได้กำไร ฉันอยู่ได้เพราะครอบครัวของฉัน
พ่อและแม่ฉันเป็นข้าราชการบำนาญ สิ่งที่พวกท่านบอกฉันมาตลอดคือ ลองไปสอบข้าราชการดูไหม? ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเก็บมาใส่ใจ แต่ครั้งนี้ไม่คิดไม่ได้แล้ว!
ฉันเริ่มอ่านหนังสือเพื่อสอบเป็นเวลา 1 ปี ที่หน่วยงานแห่งหนึ่งได้ขึ้นบัญชี แต่เป็นลำดับไกลลิบเลย ถึงจะเรียกไม่ถึงแต่ก็ได้รับการติดต่อในส่วนของลูกจ้าง สัญญาปีต่อปี ซึ่งเงินเดือนประมาณ 20,000 บาท (1)ยอมรับว่าฉันอยู่ได้สบาย แต่ขาดสวัสดิการที่ดี
ก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ฉันรองานอยู่นั้น ฉันก็ได้สอบองค์กรภาครัฐภายในท้องที่ที่ฉันอาศัยอยู่ (2)ซึ่งสวัสดิการดีกว่าแต่เงินเดือนน้อยกว่ามาก
ก่อนหมดสัญญาจากงาน(1) ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากงาน(2) จากที่ฉันรอมา 1 ปี ฉันได้เข้าทำงานใกล้บ้านในหน่วยงานรัฐ เป็นงานที่ผู้ใหญ่ทางบ้านสบายใจที่เห็นฉันได้ทำงานในองค์กรนั้น เป็นงานที่คนภายนอกมองว่าดี สบาย
แต่ทำไมฉันรู้สึกแย่นะ วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่คุ้นชิน สังคมที่ยากเกินจะอธิบาย ถ้าเทียบกับงานที่ผ่านมา ฉันร้องไห้คนเดียวบ่อยขึ้น อารมณ์เริ่มไม่คงที่ เกรง นอนกัดฟันแรงขึ้น สิ่งที่ได้รับคือความเครียดที่แทรกซึมเข้ามา ระหว่างที่ฉันทำงานที่นั้น ฉันก็อ่านหนังสือเพื่อสอบหลายหน่วยงาน หลายองค์กรด้วยกัน เพื่อหวังว่าสักวันฉันจะได้ไปจากตรงนี้
ฉันทำได้เพียงขึ้นบัญชี และทำลำดับได้ไม่ค่อยดีอีกตามเคย….
ฉันตัดสินใจลาออก หลังจากที่ทำงานได้ 1 ปี ฉันอยากอ่านหนังสือสอบอย่างจริงจัง (เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีนะคะ อายุปูนนี้ยังให้พ่อแม่เลี้ยงอีก) แต่ฉันก็สอบไม่ติด ในสิ่งที่หวังอีกครั้ง
ปัจจุบัน 2567 ฉันตัดสินใจทำงานร้านกาแฟ ซึ่งตัดเรื่องเงินเดือนที่คาดหวังออกไปได้เลย เตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องประหยัดว่าเดิม
แลกกับความสบายใจ
ชีวิตฉัน
หลายคนคงคิดว่าฉันขาดการวางแผน เอาแต่ใจ ไม่มีความอดทน แล้วที่บ้านจะอยู่อย่างไร เป็นการตัดสินใจที่โง่มาก อายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีงานที่มั่นคง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ฉันห้ามความคิดทุกคนไม่ได้ และฉันก็ยอมรับสำหรับบางคำพิพากษาที่ตัดสินฉัน ฉันคิดว่าฉันโชคดีที่มีครอบครัวที่เข้าใจ มีน้องสาวที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ
เส้นทางต่อจากนี้…ฉันจะอยู่ด้วยตัวเอง จะไม่มีอีกแล้วที่ลาออกงานโดยไม่มีแผนสำรอง ฉันจะตั้งใจอ่านหนังสือจนกว่าจะสอบบรรจุได้
สิ่งหนึ่งที่ภูมิใจในตัวเองคือ ฉันไม่เคยยอมแพ้กับการสอบเลยค่ะ ฉันสอบข้าราชการมาแล้วกว่า 10 ครั้ง
ตั้งแต่ปี 2563
ตำรวจ 6 ครั้ง ติดสำรอง 1 ครั้ง
องค์กรอิสระ 1 ครั้ง
สนง.อัยการสูงสุด 1 ครั้ง ขึ้นบัญชี
กอ.รมน. 1 ครั้ง ขึ้นบัญชี
สำนักปลัดกระทรวงยุติธรรม 1 ครั้ง ขึ้นบัญชี
และก่อนปี 2563 (แบบมือใหม่) จำแทบไม่ได้ และไม่มีจุดหมาย
อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคน และตัวเอง ✌️สำหรับคนที่ 30+แล้ว และคิดว่าทำไมเรายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง
ทุกคนมีลู่วิ่งของตัวเอง
ชีวิตฉัน
แข่งกับตัวเอง พัฒนาตัวเองในทุก ๆ วัน และสักวันหนึ่งจะเป็นวันของเรา
ปล.ถ้าเราสอบติดแล้วเราจะมาเล่าให้ทุกคนฟังนะ😊
โฆษณา