23 เม.ย. เวลา 04:13 • ความคิดเห็น

ไปอ่านเจอโพสนึง ค่อนข้างตกใจ !!

เป็นโพสเกี่ยวกับแวดวงบิทคอยน์ ที่ตกใจคือ ในคอมเม้นมีนักเศรษฐศาสตร์เยอะมากกกก มีการพูดถึงรากของปัญหา เงินเฟ้อ เงินฝืด ปริมาณเงิน ฯลฯ เยอะแยะไปหมด
แต่......หลายๆคนกลับอธิบายความจริงแค่ด้านเดียว ซ้ำบางคนยังมองระบบเศรษฐกิจแบบเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งไปเลย เคทว่านี่มันไปกันใหญ่แล้ว
คือ ที่เคทเป็นห่วงมาเสมอ ไม่ใช่เคทห่วงเรื่องความสแตนดาร์ด ความเป็น store of value ของเหรียญหรือระบบอะไรนะคะ ถ้าสังเกตุ เวลาที่เคทไฟท์หรือดีเบทเนี่ย ที่เคทห่วงจริงๆ คือ ชุมชน คนที่มีศรัทธาต่อตัวเหรียญมากเกินไป
คนจำนวนไม่น้อย ที่มอง BTC ในระดับ " ยูโทเปีย " แห่งโลกการเงิน เป็นการเงินโลกใหม่ ที่จะมาแก้ปัญหาหลายๆอย่างของระบบการเงินโลกเก่า
คือ โอเค เข้าใจได้ว่าปัญหาการเงินในปัจจุบันมัน มีจริง แต่... สิ่งที่ BTC คาดหวัง ในสังคมการเงินระดับ "ยูโทเปีย" คุณไม่คิดว่ามันดู แหม่งๆ หน่อยเหรอ ?
อยากให้พิจารณา หลายๆด้าน หลายๆมุม
อะไรที่มันดีเกินไป สมบูรณ์แบบเกินไป เคทว่ามันยิ่งน่าต้อง "ระวัง" นะคะ
คุณกำลังมองโลกใหม่ แต่กลับพูดอะไรที่คล้ายกับการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เลย ซึ่งแนวคิด มันขัดกับวิถีจารีต หรือ ธรรมชาติ และพฤติกรรมของสังคมมนุษย์ มันดูอุดมคติมากๆเลยนะ
และนั่นแหละ โลกเราก็เคยพยายามทำอะไรแบบนั่นกันมาแล้ว คุณก็เห็นนิว่ามันไม่เวิร์ค
โอเค ก่อนจะยาวไป กลับมาว่ากันด้วย ระบบเศรษฐกิจจริงๆก่อน
เรื่องแรก.....
คุณมองว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้เงินเฟียตมีปัญหา ด้อยค่าลง จนนำไปสู่การเกิดภาวะเงินเฟ้อ
เพราะ มีการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบมากเกินจนล้น ทำให้เกิดการอ่อนค่าลง และนำไปสู่การล่มสลาย แบบที่เกิดในบางประเทศ
และมีการพูดถึงการโตของ GDP เพราะเงินเฟ้อ
เคทจะบอกว่า ที่คุณกล่าวมา ด้านนึงมัน "จริง" ค่ะ แต่ มันไม่ใช่ความจริง ทั้งหมด
การเติบโตของเศรษฐกิจ ตั่งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น สิ่งสำคัญเลย คือ การเติบโตขึ้น ของประชากรโลกค่ะ !!
เมื่อประชากรโลกเติบโต ขยายตัวมากขึ้นเป็นหลายพันล้นคน แต่ ทรัพยากรมีจำกัด จึงทำให้ มูลค่าของ ทรัพยากรนั้นๆ แพงขึ้น เพราะความต้องการที่มีมากขึ้น
เช่น อสังหา ในอดีตคุณซื้อ ที่ดิน 100ตารางวา ในราคา 1 หมื่นบาท ผ่านมา 30 ปี เงิน 1 หมื่นซ์้อที่ดินได้แค่ 1 ตารางวา คุณบอกว่า มูลค่าเงินมันลดลง
แต่....ทำไมคุณไม่มองว่า ที่ดินมันมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหล่ะ
 
ถ้าคณอยู่ ในเกาะฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ แน่นอนว่า คุณจะเห็นภาพชัดมาก เพราะ ที่ดินมีจำกัด แต่ปริมาณคนมันไม่สอดคล้อง ทำให้ราคามันสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนพื้นที่ - ที่ลดลง และตัวแปรสำคัญที่เป็นฐานของอัตราเงินเฟ้อ ก็คือ อสังหา เนี่ยแหละค่ะ จะเห็นว่า มันไม่ได้แปรผันกับ ปริมาณเงิน โดยตรงขนาดนั้น แต่มันแปรผันกับ ดีมานด์ซัพพลาย
การที่บางประเทศ ล่มสลายเพราะพิมพ์เงินมากไป นั่นก็เรื่องจริง แต่ความจริงอีกด้านคือ ประเทศเหล่านั้นไม่มี
" สินค้า และ บริการ " ที่มีมูลค่า รองรับ ซัพพอต หรือ มีปริมาณสอดคล้องกับปริมาณเงินที่พิมพ์ออกมาในระบบ
มันจึงเป็นเหตุผลว่า ต่อให้คุณ ถือ เงินเฟียตของประเทศนั้น แต่ไม่มีสินค้าที่คุณต้องการ มันก็ไม่มีความหมาย
เรื่องต่อมา ในระบบเศรษฐกิจ ตัวสำคัญที่ทำให้ GDP เติบโต
คือ เครดิต ค่ะ สินเชื่อ หรือ หนี้สิน !!! ตัวนี้นี่แหละ ที่ขับเคลื่อนระบบ
ต่อให้คุณใช้ อะไรมาเป็นตัวกลาง การแลกเปลี่ยน แต่ เครดิต หรือ หนี้สิน จะเป็นตัวสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อ " มูลค่า " ของตัวกลางนั้นๆ
เพราะอะไร ? เพราะในโลกนี้ ในระบบเศรษฐกิจ มันมีเรื่องของ ผลกำไร - ขาดทุน มีเรื่องของ "ดอกเบี้ย" และ " หนี้เสีย "
คุณไม่สามารถละเลย ระบบตลาด หรือ ระบบเศรษฐกิจแบบนี้ไปได้เลย
เมื่อมีการค้าขาย แลกเปลี่ยน ย่อมมี คนกำไร ย่อมมีคนขาดทุน เมื่อมีคนขาดทุน ในจำนวนนั้นก็ต้องมีการ กู้ยืม สินเชื่อ ไม่เกี่ยงว่า จะ เป็น central หรือ decentralise คำถามคือ ถ้ามีการ กู้ยืม คุณจะไม่คิด ดอกเบี้ย หรอ หรือ เวลาเกิดหนี้เสีย จะมีระบบจัดการยังไง ?
ในระบบตัวกลางการแลกเปลี่ยน ยังไงก็ต้องวิ่งหา นโยบายกำกับ
อย่างที่มาของ Central Bank Rate หรือ อัตราธนาคารกลาง
เมื่อจำนวนธนาคาร มีผลต่อ ปริมาณเงิน > ปริมาณเงิน มีผลต่อ > เศรษฐกิจ
ควบคุมธนาคาร = ควบคุมปริมาณ และ เครดิต
ดอกเบี้ย มาจาก สินเชื่อ
สินเชื่อ มาจาก เงินฝากส่วน สำรองส่วนเกิน
ดังนั้น คุมดอกเบี้ย = คุมสินเชื่อ
ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็หมายถึง เราจะไม่มีการ กู้ยืม หรือ ปล่อยสินเชื่อ กันในระบบ
ในเมื่อ คีย์สำคัญของ ระบบ เศรษฐกิจ คือ การสร้างหนี้ เพื่อ ผลักดันให้คน สร้าง ผลิตโปรดักส์ ผลิตสินค้า และ บริการ เท่ากับ เราตัด วงจรนี้ไปแล้วหนึ่ง
นโยบายการเงินแต่ละแบบ จึงออกแบบมา เพื่อ เป้าหมายทางเศรษฐกิจ
กำกับ มาตรการ การเงิน เพื่อก่อ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
เช่น เพื่อ เสถียรภาพระดับราคาสินค้า(เงินเฟ้อ) , คุมการจ้างงาน, คุมหนี้ครัวเรือน, กระจายรายได้ และ รักษาดุลยภาพการเงินระหว่างประเทศ ฯ
พอพูดถึง สินค้าและบริการ สิ่งนี้ก็เป็นตัวสำคัญ ที่กำหนดให้เกิด ความต่างของ "มูลค่า" อย่างที่กล่าวไป ข้างต้นก่อนหน้านี้
ที่ดิน ในเกาะเล็กๆ ย่อมแพงกว่า ที่ดินในแผ่นดินใหญ่
และหากที่ดินที่สามารถเพาะปลูกได้ ก็ย่อมมีมูลค่ามากกว่าที่ดินที่เพาะปลูกไม่ได้
สิ่งของที่ประดิษฐ์ด้วย นวัตกรรมของชนชาติหนึ่ง ถูกมูลค่าด้วยเรื่อสิทธิบัตร สินทรัพย์ทางปัญญา ย่อมต่างจาก สินค้าเลียนแบบของชนชาตินึง เรื่องนี้ก็ส่งผลให้ ค่าแรงของคนในพื้นที่หนึ่ง จึง แตกต่างจากคนพื้นที่หนึ่ง ด้วยปัจจัยของ ทรัพยากรที่ต่างกัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกรวมว่า " พลัง หรือ อำนาจ " ได้เช่นกัน อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการทหาร อย่างหลังนี่แหละ ที่เป็นตัวกำหนดระเบียบโลกที่สำคัญ
อนาคตของ คริปโตเคอเรนซี (เหรียญคริปโตฯ) ในการเป็นสื่อกลางจะแตกต่างจาก เงินเฟียตไหม ? ไม่รู้ เป็นเรื่องที่ยาวนานมากๆในการจะพิสูจน์
เคทยังยืนยันว่า ไม่ได้ต่อต้าน อย่างที่เกริ่นมา เป็นเพียงข้อคิดเห็นที่อยากให้พิจารณา
แต่ที่เห็นแน่ๆในตอนนี้คือ
คริปโตเคอเรนซี่ เป็น " สินทรัพย์ " ที่หลายคนมองเพื่อการลงทุนเป็นหลัก (มีน้อยมากที่ใช้เป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน) และ การมาของ ETF ยิ่งสะท้อนเด่นชัด
ว่า โลกการเงินยุคเก่า พยายามเข้าไปมีบทบาท มีส่วนร่วมสำคัญ ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของ "มูลค่า"
1
อย่ามองข้ามเรื่อง ระเบียบโลก และ ระบบเศรษฐกิจ
เพื่อนๆพี่ๆ มีข้อคิดเห็นเช่นไร เชิญ แลกเปลี่ยนกันค่ะ
มิ้วติ้ววนไป
โฆษณา