23 เม.ย. เวลา 11:13 • บันเทิง

“ถ้าแมวหายไปจากโลกนี้” แล้วทำไงดี

If Cats Disappeared From the World เป็นหนังญี่ปุ่นที่ออกฉายมาตั้งแต่ปี 2016 นำแสดงโดยสองดารานำ พระเอกคือ Takeru Satoh (พระเอกเรื่อง Rurouni Kenshin, Mr.Brain, First Love) นางเอกคือ Aoi Miyasaki (นางเอกจากเรื่ององค์หญิงอัตสึ Atsuhime) ดูจากชื่อหนังแล้วอาจสงสัยว่าแล้วแมวหายไปจากโลกแล้วจะยังไงเหรอ คนทำหนังเรื่องนี้ตั้งชื่อสมมติแบบนี้ ต้องการจะนำเสนออะไรให้คนดูเอาไปคิดต่อ แล้วเอ้ คำถามนั้นเกี่ยวกับเราหรือเปล่า ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงนั่งดูหนังเรื่องนี้แล้วได้อะไร
เป็นหนังที่ค่อนข้างจะต้องคิดๆ ตามหน่อย ตามประสาหนังญี่ปุ่น แกเป็นประเทศที่ชอบคิดชอบสะท้อนความคิดของตัวเองทบทวนไปมา ถ้าจะดูก็ต้องใจร่มๆ เปิดใจหน่อยๆ ดูจากสถิติที่ว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายที่ประเทศญี่ปุ่นก็ติดอันดับท๊อปสามติดกันสามสัปดาห์ก็ไม่น่าจะแย่ซะทีเดียว หนังเรื่องนี้เปิดประเด็นโดยตัวเอกของหนังบอกกับตัวเองว่า ถ้าวันนี้เราตายไปคงจะมีใครเสียใจหรือรู้เรื่อง ฟีงแล้วเศร้าๆ แต่จนจบก็สุดท้ายไม่เศร้าเท่าไหร่แต่กระตุกความคิดมากกว่า
ดำเนินเรื่องแบบเป็นการเล่าเรื่องของตัวเองผ่านจดหมายของชายหนุ่มคนนึงอายุประมาณสามสิบต้นๆ อาชีพบุรุษไปรษณีย์ โสดมีชีวิตอยู่ตามลำพัง มีแมวตัวนึงเป็นเพื่อน ใช้ชีวิตตามธรรมดาคือทำงาน เช่าดีวีดีดูหนัง กินข้าว เลี้ยงแมว อยู่ดีวันนึงแกก็ป่วยโดยหมอตรวจแล้วบอกว่าเป็นเนื้องอกในสมองจะมีชีวิตอยู่เท่าไหร่ไม่รู้ ตายได้ทุกเมื่อถ้าเนื้องอกเกิดทำให้เส้นเลือดในสมองแตก แกก็คงช็อคไปหน่อยๆ
พอได้สติแล้วแกก็สรุปได้ว่า เออ การรับรู้ว่าจะตายง่ายๆนี่ ก็ไม่ต้องมีคร่ำครวญเอาอะไรนี่นา แล้วแกก็บอกกับตัวเองว่า เอ้ กระทั่งรู้ว่าจะตายแล้วทำไมคิดได้แค่คำถามเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาๆในชีวิตประจำวันเช่น จะดูหนังได้กี่เรื่องก่อนตาย หรือแชมพูในตู้มีตั้งเยอะ จะใช้หมดไม๊ ฟังดูแล้วก็เหมือนจะหดหู่หน่อยๆ แต่หนังก็เล่าให้เห็นภาพของตัวละครตัวนี้ได้เลยว่า เออ ชีวิตแกเหมือนเรียบง่าย ไม่มีอะไรจริงๆ กระทั่งจะตายยังไม่มีเรื่องให้กังวลเลย
แต่เรื่องก็มีหักมุมชึ้น เมื่อพระเอกซึ่งเป็นคนใกล้ตายได้มีเวลาอยู่คนเดียว ในหนังแสดงให้เห็นว่า มีคนหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะแต่บุคคลิกภาพต่างกันอย่างแรง โดยพระเอกเข้าใจว่าคือปีศาจมานั่งคุยกับแกถามว่าจะยอมตายเฉยๆเหรอ พรุ่งนี้จะตายแล้วนะ เอางี้ ให้โอกาสตายช้าลงหน่อย โดยที่จะกำจัดบางสิ่งบางอย่างจากโลกนี้ไป แล้วจะทำให้พระเอกมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกวันนึงเอาไม๊ ความจริงหนังแสดงให้เห็นว่าต้วเอกกำลังคุยกับตัวเองนั่นหละ ถึงเรื่องอะไรที่ยังคิดไม่จบ ประมาณเวทีชีวิตยังไม่จบฉาก
สุดท้ายพระเอกก็ยอมทำตามสิ่งตัวตนของตัวเองแนะนำคือ สิ่งแรกที่จะกำจัดคือ โทรศัพท์ โดยที่ก่อนที่จะกำจัดนั้นจะให้โอกาสได้ใช้สิ่งนั้นๆก่อน ซึ่งก่อนโทรศัพท์จะหายไปพระเอกก็โทรไปหาแฟนเก่า วันต่อมาคือหนังภาพยนตร์พระเอกก็ไปหาเพื่อน วันต่อมาคือนาฬิกาทำให้พระเอกได้กลับไปหาพ่อ วันต่อมาคือแมวซึ่งทำให้พระเอกนึกถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับแม่กับแมว ดังนั้นในแต่ละวันก่อนที่สิ่งต่างๆจะหายไป พระเอกก็จะได้ทำการทบทวนความสัมพันธ์ความสุขความเศร้าของแกกับคนที่สำคัญสำหรับพระเอกโดยการนำพาของสิ่งของเหล่านี้มาตลอดชีวิต
เล่ามาถึงตรงนี้ ก็เหมือนกับจะเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่คิดว่าไม่น่าจะทำให้รสชาติของหนังเสียไปแต่อย่างใด เพราะถ้ารับชมจริงๆ จะได้รับอรรถรสเป็นไปในแง่ที่ขณะที่ดูเราก็จะค่อยๆพัฒนาความเข้าใจกับชีวิตไปกับตัวพระเอกด้วย แล้วใจความใหญ่ของหนังก็คงไม่ได้ต้องการให้มีความตื่นเต้นหักมุมหาเรื่องประหลาดใจแต่อย่างใดหากแต่คงอยากจะนำเสนอมุมมองถึงความมีค่ากับความสัมพันธ์ที่เรามองว่าดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เรื่องเศร้า เรื่องสุข ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนต่างก็เป็นประสบการณ์ที่สุดท้ายทำให้เราเป็นเรา ณ วันนี้
ต่อให้เรื่องจะเล็กหรือธรรมดาเพียงใด ต่างก็มีคุณค่าในตัวมันเอง หนังจะดำเนินเรื่องช้าๆ โดยค่อยๆเปิดเผยเบื้องหลังชีวิตของพระเอกผ่านการทบทวนความสัมพันธ์ของพระเอกที่มีกับคนสำคัญในชีวิตของตนเอง แล้วสุดท้ายพระเอกจะต้องตัดสินใจว่าจะยอมให้แมวหายไปไม๊ แล้วตอนจบจะเป็นลีลาไหนต้องลองดูกันเอง แต่ต้องดูก่อนวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ เพราะว่าจะถูกถอดออกจาก NetFlix แล้ว แต่บอกคร่าวๆ ได้ว่าพระเอกก็ได้คำตอบว่าตนเองก็พอใจกับชีวิตที่ผ่านมาเช่นกันมากกว่าที่ตนเองเคยคิด
พอดูหนังเรื่องนี้จบ เอาจริงก็ยังไม่ได้มองไปที่จุดจบของชีวิตหละนะ เพียงแค่นึกย้อนกลับไปว่าเวลาดูละครดูหนังเหมือนคนส่วนใหญ่คนเวลาจะตายนี่ถ้าสติยังดีก็จะมีห่วงคนข้างหลัง กับสิ่งหนึ่งที่มากับการสั่งเสียโน่นนี่ก็เพราะนึกเสียดายว่าชีวิตยังไม่ได้ทำนั่นทำนี่ในอดีตแล้วก็เสียใจทุกข์ระทม ซึ่งทำให้ก่อนจะสิ้นใจมีลักษณะอาการเป็นไปในทางเหมือนละครของชีวิตยังไม่จบจริงก็ธรรมดาสามัญ คนดูก็พอเดาบทได้
แต่หนังเรื่องนี้ก็แกไม่ทำตรงๆแบบนั้น การตั้งคำถามก่อนตายแบบแยบยลมากกว่าโดยเปลี่ยนลักษณะคำถามให้เป็นว่าถ้าสิ่งนั้นหายไปจากชีวิตที่ผ่านมานี่จะรู้สึกยังไง โดยความรู้สึกนี่ไม่ได้จำกัดแค่เสียดายหรือเสียใจ มันรวมเป็นถึงการทบทวนความรู้สึกกับสิ่งนั้นๆ ทุกอารมณ์ ดี ไม่ดี ชอบ ไม่ชอบ สนุก เฉยๆ การทบทวนนี่หละทำให้ปมในชีวิตได้คลายก่อนวันสุดท้ายของชีวิต เหมือนกับก่อนชีวิตอวสานทุกปมในละครได้รับการเฉลย มีการคลายความข้องใจและแก้ปมให้กับตัวประกอบละครในชีวิตของตัวเอกทุกตัว ก่อนชีวิตของตัวเอกจะปิดฉากลง
ทีนี่ถ้าหากว่าเราลองสมมติว่าถ้าเราเหลือเวลาอยู่แค่หนึ่งสัปดาห์ แล้วลองตั้งคำถามแบบเดียวกันบ้าง บางทีเราอาจได้คำตอบอะไรบ้างที่น่าสนใจเหมือนกันก็ได้ บางทีการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิตอาจเปลี่ยนไปก็ได้ ประมาณ death cleaning ทางอารมณ์ความคิดก่อนเวลาจริงมาถึง
โฆษณา