30 เม.ย. เวลา 00:27 • ธุรกิจ

บทที่ 1 ทุกอย่างเริ่มต้นที่ “#คน”

=============
ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นด้วย คน ยิ่งในโลกของธุรกิจแล้วองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุดขององค์กรก็คือ ทรัพยากรบุคคล หากองค์กรใดบริษัทใดมีทีมงานที่เก่ง ก็จะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
คนที่เรากำลังจะพูดถึงเป็นคนแรกและเป็นคนที่สำคัญที่สุดก็คือตัวของคุณเอง “รู้จักใครไม่สู้รู้จักตน" ก่อนที่เราจะไปพัฒนาใคร สอนคน สร้างทีม สร้างโครงสร้างการทำงาน หรือสร้างโครงสร้างการบริหาร เราต้องกลับมาพัฒนาตนเองก่อน เรื่องที่เราต้องรู้จักดีที่สุด คือเรื่องของตนเอง
เราต้องหาจุดแข็ง คือ “เรื่องที่เรารักที่จะทำ” ถ้าเราชอบเรารักในสิ่งที่เราทำสิ่งนั้นก็จะเป็นเรื่องง่ายในการที่จะนำมาพัฒนาต่อยอด เพิ่มทักษะ และฝึกฝนให้เก่งที่สุดในจุดที่เรายืน หากนึกถึงเรื่องนี้ทุกคนต้องนึกถึงคุณ
แต่ก็ต้องหาจุดอ่อนด้วย ซึ่งก็ คือสิ่งที่เราขี้เกียจจะทำมัน เมื่อขี้เกียจเราก็ไม่อยากที่จะพัฒนา จะได้รู้ตัวเองว่าไม่เก่งในด้านใดบ้าง
เหตุที่เราต้องหาทั้ง จุดแข็งและจุดอ่อน ก็เพราะว่าเรามีเวลาที่จำกัด ดังนั้นเราต้องเลือกที่จะให้เวลาในการพัฒนาจุดแข็งให้กลายเป็นจุดที่เราเก่งที่สุด ส่วนจุดอ่อนนั้นเราต้องรู้และหาทางออกหากต้องทำงานบางอย่างที่ดันไปพอดีกับจุดอ่อนเรา
ซึ่งเราอาจจะหาตัวช่วย ทั้งรู้ว่าใครเก่งเรื่องนี้ หรือหาเครื่องไม้เครื่องมือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จะสามารถทำงานที่อยู่ในโซนของจุดอ่อนของเราให้สำเร็จออกมาได้ ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้มีตัวช่วยมากมายไม่ว่าจะเป็นการจ้างฟรีแลนซ์ที่เขาเก่งกว่าเราในแต่ละด้าน บางครั้งเราก็ต้องใช้เงินในการแก้ปัญหา หรือหากจะเป็นเรื่องภาษาอาจจะใช้ Application เรื่องภาษามาช่วยงานเรา ยิ่งยุคปัจจุบันแล้วมี AI เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่ง ทำให้เราสามารถปิดจุดอ่อนของงานที่เราไม่ถนัดได้เป็นต้น
เมื่อเรารู้จักตนเองทุกซอกทุกมุมดีแล้ว เราจึงจะสามารถวางแผนการเดินทางต่อไปได้ในอนาคต สิ่งสำคัญคือ เราต้องเพิ่มทักษะในการขายและการตลาดลงไปซึ่งเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าตัวคุณเองจะมีจุดแข็งในเรื่องของงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ, งานทำสื่องาน, งาน PR ประชาสัมพันธ์, งานการเงิน
หรืองานอื่นใดก็ตามที่เป็นตำแหน่งงานปกติ ที่คุณทำอยู่ในบริษัทอยู่ในองค์กร ต้องเพิ่มทักษะการขายและการตลาดลงไปอีกหนึ่งเรื่องเสมอ เพราะสิ่งนี้เมื่อนำไปรวมกับจุดแข็งของคุณ ที่เป็นอาชีพหรือเป็นตำแหน่งหน้าที่ปกติจะทำให้คุณสามารถก้าวเข้าสู่ความเป็น Growth Marketer ที่สามารถสร้างยอดขาย สร้างกำไร ให้เพิ่มขึ้นจากที่คุณอาจจะไม่มีผลงานที่สร้างยอดขายอยู่ในมือเลยก็ตาม
ต่อมาเมื่อคุณเพิ่มทักษะเรื่องของการขายและการตลาด จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ นำไปทดลองทำงานจริงได้แล้ว ให้เอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่จะสามารถสร้างยอดขายและสร้างกำไร ให้องค์กรโดยวิธีการเดินออกไปแถวหน้า ด้วยการไปร่วม Project หรือสร้าง Project โดยเน้นว่า Project นั้นๆจะต้องเป็น Project ที่ทำให้องค์กรมียอดขายที่ดีขึ้นเป็นรูปธรรม สามารถวัดผลได้
ซึ่งในปัจจุบันทุกบริษัททุกองค์กรจะมี Project และต้องการให้พนักงานริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำ Project ขึ้นมา เพราะ Project คือ การลงมือทำงานในอนาคตล่วงหน้าก่อน 1-3 ปี เป็นการวางรากฐานยอดขายใหม่ที่เรียกว่า New S-Curve แผนการที่จะทำให้บริษัทมีช่องทาง การสร้างยอดขายในอนาคต เพราะทุกบริษัทต้องการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นในทุกๆปี ซึ่งการทำสิ่งเดิมๆย่อมไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ได้ องค์กรจะต้องทำสิ่งใหม่ริเริ่มสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา
นี่คือ วัฏจักรที่เราต้องเข้าใจ
และ Project ที่คุณทำนั้น จะต้องเป็น Project ที่ดี คือ Project ที่มี Business Model ที่ทำให้เกิดรายได้งอกขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างลูกค้าใหม่ หรือการทำให้ลูกค้าเก่าซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น (ซื้อซ้ำ ซื้อเพิ่ม บอกต่อ)
เพราะหลายครั้งเรามักไปสร้าง Project ที่เน้นการไปปรับกระบวนการทำงานให้ดีขึ้น ทำงานสะดวก ประหยัดต้นทุน ซึ่งมันก็ไม่ผิด แต่ต่อให้ประหยัดจนมีกำไรเพิ่มขึ้นมาก แต่ตัวเลขยอดขายก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งน่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า หากคุณเลือกทำ Project ที่ ตัวเลขยอดขายก็เพิ่มขึ้น พร้อมกับกำไรที่เพิ่มขึ้นตามยอดขาย นั่นเอง
=============
“ต่อมาจึงโฟกัสไปที่คนอื่นๆในองค์กร”
คนกลุ่มแรกที่คุณจะต้องโฟกัสคนต่อไป คือ “เจ้านาย” โดยเลือกเจ้านายที่คุณคิดว่าสามารถเป็นที่ปรึกษา Project ที่คุณเข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นเจ้านายสายตรง หรือเจ้านายของเจ้านาย นอกจากคุณจะได้แนวคิดดีๆ จากผู้มีประสบการณ์ที่เคยผ่านงานต่างๆ มาแล้ว ก็เป็ฯโอกาสที่ดีจะได้อัพเดทว่าตัวคุณเองทำงาน และทำ Project อะไรอยู่บ้าง
จะทำให้คุณเป็นที่รู้จักของเจ้านายและนี่คือโอกาสที่คุณอาจจะได้โอกาสดีๆต่อไปในอนาคต เพราะเจ้านายคุณก็อยากจะสร้างยอดขายสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอยู่แล้วยิ่งเป็น Project ของลูกน้องแล้วด้วย ยิ่งได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม นี่คือวิธีการที่จะเจริญเติบโตในแบบที่ดีที่สุด แน่นอนว่าหลายครั้งก็คงจะมีเจ้านายในหลายชั้นขึ้นไปสิ่งสำคัญคือ การเลือกว่า เคมีของใครจะตรงกับคุณมากที่สุด
=============
คนต่อมาที่คุณจะต้องโฟกัสก็ คือ “ลูกน้อง” เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง Project ของคุณไม่ว่า Project ใดโปรเจคนึง ย่อมเริ่มประสบความสำเร็จ และเริ่มเห็นผลงานที่ชัดเจนมากขึ้น ให้นำประสบการณ์ในการสร้าง Project ที่เกิดยอดขายเกิดกำไรให้บริษัทนั้น นำไปสอนแนวคิดในการทำงานนี้กับลูกน้องนั่น คือ การสอนคน
=============
ซึ่งการสอนคน จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ
=============
แบบที่ 1 ก็คือ “การสอนให้เขาทำงานได้ดีขึ้น” ให้เขาสามารถที่จะดำเนินรอยตามคุณได้ สามารถสร้างความสำเร็จสร้าง Performance เป็นของตนเองได้ และรู้วิธีในการขึ้นงาน Project ใหม่ๆ ตั้งแต่ 0 ถึง 100% เมื่อคุณได้สอนคนที่เป็นลูกน้อง ให้สามารถทำงานได้ดีแล้ว นั่นก็จะทำให้ทีมของคุณสามารถสร้างก้อน Performance ที่ใหญ่ขึ้นได้ ยิ่งคุณมีทีมที่ใหญ่ขึ้น Performance ของทุกคนในทีมก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น
=============
แบบที่ 2 คือ “การสอนให้เขาสามารถนำไปสอนคนอื่นต่อได้" ซึ่งแน่นอนว่าแบบที่ 2 นี้ย่อมยากกว่าแบบที่ 1 อย่างแน่นอน เพราะหลายครั้งเรามักจะสามารถทำให้ลูกน้องเป็นคนเก่งขึ้น สามารถสร้างงานสร้างผลงาน สร้างยอดขายอย่างเด่นชัดกับองค์กร แต่หลายครั้งเรามักจะเจอผู้คนที่ทำงานแบบตัวคนเดียวได้ดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ทำงานเป็นกลุ่ม มักจะมีปัญหา ยิ่งเป็นคนเก่งๆ มารวมกลุ่มกันด้วยแล้วยิ่งอาจจะมีปัญหา
ซึ่งในการสอนคนแบบที่ 2 นี้จะต้องใช้เวลาปรับ Mindset เป็นหลัก และให้เขา กลายจากศิษย์เป็นอาจารย์ ให้ได้ ซึ่งแน่นอนในช่วงต้นอาจจะต้องสูญเสียผู้คนที่เขาเข้าไปสอน สูญเสียความเชื่อมั่นของผู้สอน แต่สิ่งนี้จะทำให้เกิดความยั่งยืนกับทีมกับองค์กร รูปแบบนี้เราจะเรียกว่า “รูปแบบของสิทธิ์อาจารย์"
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าเจ้านายลูกน้อง หรือรุ่นพี่รุ่นน้อง เพราะต่อไปในอนาคตเมื่อไหร่ก็ตามที่เขายังนับถือกันเป็นสิทธิ์เป็นอาจารย์กัน ความสัมพันธ์นี้ย่อมดีกับตัวเขาเอง กับคนที่เขาสอน และกับตัวเรา เมื่อเรายิ่งเพิ่มลูกศิษย์ขยายตัวให้มากขึ้น ก็จะสามารถมีทีมงานที่จะบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้มากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งหลายครั้งผมมักจะพบว่า การที่เราเป็นอาจารย์และสอนผู้คนแม้กระทั่งการไปสอนผู้คนนอกเหนือจากลูกน้องเรา เรายิ่งมีลูกศิษย์ที่มีความคิด มี Mindset ในแบบเดียวกันสะสมมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้มีพลังมากขึ้น ส่วนองค์เองก็จะมีวัฒนธรรมเรื่องการเรียนรู้พัฒนาตนเอง และสร้างโปรเจคสร้างยอดขาย กลายเป็นเรื่องที่ดีกับทั้งตนเองและองค์กร
สิ่งที่ผ่านมาแล้วทั้งเรื่องคนที่เป็นตนเอง เรื่องคนที่เป็นเจ้านายเรื่องคนที่เป็นลูกน้อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะส่งเสริมองค์กร กลายเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมของการเรียนรู้และการพัฒนาซึ่งกันและกัน สร้างพลังบวก สร้างจิตสำนึกแห่งการเติบโต เมื่อองค์กรดีเราก็สามารถวางโครงสร้างการทำงานให้มีความเหมาะสมกับธุรกิจได้ เพราะทุกคนก็จะสามารถรู้วิธีที่จะทำงานให้เกิดประสิทธิภาพให้เกิด Performance ให้เกิดยอดขาย และกำไรกับองค์กร
=============
ต่อมาก็คือ “สร้างโครงสร้างการบริหารทีม” การมีโครงสร้างจะทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาในทีมใหม่ๆ รู้ว่าเขาจะต้องปรึกษาใคร โดยการปรึกษาจะสามารถแก้ไขปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นได้ และรู้ว่าใครจะช่วยเขาตัดสินใจในการทำงานนั้นๆได้ เพราะการไม่สร้างโครงสร้างในการบริหารทีมที่ดี จะทำให้ทุกคนรอในการที่จะปรึกษาคุณ รอที่จะให้คุณตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ซึ่งจะทำให้คอขวดเกิดขึ้นในองค์กร
=============
เมื่อทุกอย่างภายในองค์กรสมดุลแล้ว ไม่ว่าตัวคุณเอง เจ้านายหรือลูกน้อง โครงสร้างการทำงาน โครงสร้างการบริหาร และได้ Project ที่ดี ที่สามารถสร้างสินค้าหรือบริการขึ้นมาได้ คนสุดท้ายที่มีความสำคัญเรียกว่าที่สุดในการทำธุรกิจก็คือ คนที่คุณเรียกว่า “ลูกค้า”
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราสามารถเลือกลูกค้าได้ มีความเชื่อเก่าๆที่มักจะเกิดขึ้นว่า ลูกค้าที่เข้ามาคือพระเจ้า เราจะต้องดูแลลูกค้าที่เข้ามาทุกคน แต่ในมุมมองของการทำธุรกิจยุคใหม่แล้วเราจะต้อง ”เลือกลูกค้าที่เรายินดีในการที่จะช่วยเหลือเขา” เลือกลูกค้าที่เราคิดว่ามีความสุขในการทำงานช่วยเหลือเขา เลือกลูกค้าที่ดีพอ และไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นลูกค้าที่ดีสำหรับคุณได้
การที่เป็นบริษัทที่เปิดมานาน สิ่งสำคัญที่มีในองค์กรคือ กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ลูกค้าชั้นดี ลูกค้าชั้นกลาง ลูกค้าไม่ดี ลูกค้าที่จ่ายเงินเยอะ ลูกค้าที่ซื้อซ้ำซื้อเพิ่มบอกต่อ หรือลูกค้าที่เป็นแฟนคลับ กลุ่มลูกค้ามากมายเหล่านี้เราสามารถที่จะมี Data ให้เลือกเยอะแยะมากมาย
หากนำ Data มาใช้เป็น คุณก็จะสามารถหา LookaLike หรือคนที่มีคุณสมบัติมีความคิดมีความต้องการ เหมือนกับกลุ่มลูกค้าที่คุณเลือกแล้ว ที่จะทำการตลาดเพิ่ม เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าเหล่านี้ให้มากขึ้นมากขึ้น ซึ่งแน่นอนในปัจจุบันมีเครื่องมือสำหรับการทำโฆษณาในการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆเหล่านี้มากมาย
หรือคุณอาจจะใช้ทฤษฎีการตลาดที่เรียกว่า Persona เพื่อกำหนดบุคลิกลักษณะของลูกค้าที่คุณต้องการ เพื่อนำมาหา Inside แล้วนำไปขยายด้วยการทำการตลาดให้ได้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการมากขึ้น
หรือคุณอาจจะใช้ ราคา เป็นตัวกรองกลุ่มลูกค้าที่อยู่ระดับบนเพราะ ลูกค้าที่มองแต่ราคาต้องการซื้อสินค้าราคาต่ำๆมักจะมีปัญหาสูง ส่วนลูกค้าที่สามารถซื้อราคาสูงได้มักจะมีปัญหาต่ำ แม้หลักการนี้อาจจะไม่เสมอไป ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะมีบุคลิกลักษณะแบบนี้
และหลายครั้งหากสินค้าหรือบริการของคุณที่คุณสร้างขึ้นมาเป็นระดับ Top Premium กลุ่มลูกค้าที่เข้าใจ จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่สามารถจ่ายไหวเท่านั้น
ถ้าเจอลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของคุณก็ต้องยอมทำใจ ตัดกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่ออกไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา
=============
- บทสรุปท้ายบท -
• จงรู้จักตนเองทั้งจุดแข็งจุดอ่อน แล้วใส่ทักษะการขายและการตลาดลงไปในตัวเอง นำไปสร้าง Project ที่ดี คือสร้างยอดขายและสร้างกำไร
• จงรู้จักเจ้านาย และใช้งานเจ้านายให้เป็น
• จงรู้จักลูกน้อง สอนเขาให้ทำงานได้ดี และสอนเขาให้สามารถสอนคนอื่นได้
• ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน คือ ความสัมพันธ์ของศิษย์กับอาจารย์
• องค์กรต้องมีวัฒนธรรมที่ดี เรียนรู้และพัฒนาซึ่งกันและกัน มีพลังบวก และทุกคนมีจิตใจแห่งการเติบโต
• โครงสร้างการทำงาน สร้างไว้เพื่อให้ทุกคนรู้วิธีในการทำงานแม้เขาจะเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาก็ตาม
จากหนังสือ #GrowthMarketer | วิถีแห่ง TOP3% | ผู้สร้างกำไรให้องค์กร
By Sayan Bunard
โฆษณา