1 พ.ค. เวลา 14:40 • กีฬา

อิปสวิช ทาวน์ 2 ปีถึงเป้า? : รวมพลคนไม่ดีพอที่กำลังจะไป "พรีเมียร์ลีก" | Main Stand

ในเกมสุดท้ายของฟุตบอล เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อิปสวิช ทาวน์ ที่เล่นในบ้านด้วยโจทย์ที่ไม่ยากคือ "ขอแค่ไม่แพ้" ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ที่ตกชั้นไปแล้ว พวกเขาจะกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในรอบ 24 ปี
2 ปีก่อนพวกเขายังเล่นในลีกวันอยู่เลย แต่ด้วยฝีมือของโค้ชที่ถูกมองว่า "ไม่มีน้ำยา" และนักเตะที่เป็นประเภท "โดนคัดทิ้ง" จากทีมที่ใหญ่กว่า ณ ตอนนี้อีกก้าวเดียวพวกเขาจะถึงเป้าที่ทุกทีมในลีกรองของอังกฤษเฝ้าฝันถึง
2 ปีเลื่อนชั้น 2 ดิวิชั่นติดต่อกัน ... นี่คือเรื่องราวของ "แทร็คเตอร์ บอยส์" หนึ่งในทีมที่เล่นได้บู๊ล้างผลาญที่สุด ยิงประตูชัยท้ายเกมเป็นว่าเล่น ทำเอาสนามแทบแตกเป็นประจำ
ติดตามเรื่องราวของพวกเขาก่อนเลื่อนชั้นที่ Main Stand
เริ่มที่หัว สะบัดถึงหาง
หลังจากสร้างชื่อได้อยู่ 2 ซีซั่น อิปสวิช ยุคคลาสสิกที่นำทัพโดยนักเตะอย่าง มาร์ติน รอยเซอร์, เฮอร์มัน ไฮดราสัน และ มาร์คัส สจ๊วร์ต ก็ต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในปี 2002
และกฎของการตกชั้นไปสู่เดอะ แชมเปี้ยนชิพ คือ คุณต้องกลับมาให้ได้ภายใน 2 ปี ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเจอกับปัญหาแน่ เงินจะไม่เยอะเท่าเดิม รายได้จะเข้ามาน้อยกว่าเดิม และรายจ่ายจะเยอะกว่าเดิม
ถ้าคุณไม่เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกใน 2 ปี คุณต้องบริหารทีมแบบรัดเข็มขัดสุด ๆ เพื่อรักษาสถานภาพของสโมสรให้ได้ ... เพราะถ้าทำไม่ได้คำว่า "ทีมแตก" รออยู่ไม่ไกล ซึ่ง อิปสวิช เป็นแบบนั้น
หลังจากตกชั้นในปี 2002 อิปสวิช ไม่เคยกลับมาเล่นพรีเมียร์ลีกอีกเลย หนำซ้ำยิ่งอยู่ในลีกรองนานพวกเขาก็ยิ่งถดถอย หนี้ก่อตัวขึ้นมหาศาล และสุดท้ายแม้แต่ลีกรองก็อยู่ไม่ได้
เจ้าของเก่าของ อิปสวิช ชื่อว่า มาร์คัส อีแวนส์ เป็นเศรษฐีชาวอังกฤษที่รักทีมจากใจจริง อิปสวิช คือทีมโปรดของเขา เขาเป็นเจ้าของทีมอยู่ 13 ปี ลงทุนกับทีมไปเกิน 100 ล้านปอนด์ และอย่างที่บอกคือยิ่งอยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ นาน มันจะยิ่งกัดกินคุณไปเรื่อย ๆ .. อิปสวิช ตกชั้นไปสู่ลีกวันในปี 2019 หนำซ้ำยังไม่สามารถเลื่อนชั้นกลับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ได้ในปีเดียวอีกต่างหาก
มาร์คัส อีแวนส์ ยอมแพ้ และขายสโมสรให้กลุ่มทุนอเมริกันที่ชื่อว่า "Gamechanger 20 Limited" กลุ่มทุนอเมริกัน โดยมีงบประมาณการเทคโอเวอร์ที่ 40 ล้านปอนด์
"ผมอยากพาทีมกลับไปพรีเมียร์ลีกมาตลอด เสียดายที่เราบางครั้งเราติดแค่เส้นบาง ๆ ที่กั้นไว้ (เพลย์ออฟ) ... ถึงตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ และผมตระหนักดีว่าผมจะต้องออกจากสโมสร โดยเงื่อนไขเดียวที่ผมตกลงกับเจ้าของใหม่คือ พวกเขาจะต้องพาเรากลับไปเป็นทีมระดับพรีเมียร์ลีกให้ได้"
"พวกเขาสัญญากับผมแล้ว การลงทุนครั้งนี้ของพวกเขาจะเริ่มใช้สำหรับปรับปรุงครั้งใหญ่ ตั้งแต่โครงสร้าง" มาร์คัส อีแวนส์ เจ้าของเก่าบอกลาทีมในปี 2021
ทว่าเพียงปีแรกในมือเจ้าของใหม่ปัญหาก็เกิดขึ้น ฟุตบอลอังกฤษห้ามแฟนบอลเข้าสนามจากสถานการณ์โควิด-19 อิปสวิช กำลังชักหน้าไม่ถึงหลัง เจ้าของใหม่จำเป็นต้องกู้เงินเข้ามาเพิ่มอีก แต่ มาร์คัส อีแวนส์ ก็ฝากผลงานชิ้นสุดท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
เพราะการเป็นคนที่เก่ง กับคนที่แฟนบอลรักนั้นมันคนละเรื่อง อีแวนส์ ที่เป็นคนที่แฟนบอลรัก ยอมแพ้ และ ยอมรับว่าถ้าเขาอยู่คงทำไม่ได้ แต่เขาก็ได้ร้องขอให้แฟน ๆ สนับสนุนและอย่าตั้งแง่กับเจ้าของใหม่ คำพูดของเขามีพลังและส่งถึงแฟน ๆ อิปสวิช มากมายรวมถึง เอ็ด ชีแรน ศิลปินระดับโลกที่เป็นแฟนบอล "แทร็คเตอร์ บอยส์" ตั้งแต่ยังเด็ก ... และ เอ็ด ก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามายื่นมือช่วยสโมสรให้ผ่านเรื่องที่ยากลำบากนี้ด้วยการเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ที่หน้าอกเสื้อของสโมสร
สิ่งที่จะปรากฏบนเสื้อแข่งของอิปสวิช ทาวน์ในฤดูกาลหน้า จะเป็นเครื่องหมายคณิตศาสตร์ + – x ÷ ที่เขาใช้เป็นชื่ออัลบั้ม ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงรวมใจ ในเวลาที่ยากลำบาก สโมสรก็เริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีการทำทีมและแนวคิดอะไรใหม่ ๆ มากมาย เช่นการเลือกโค้ชของทีม
โดยปกติแล้วในยุคของ อีแวนส์ เขามักจะเลือกโค้ชยุคเก่า อย่าง มิค แม็คคาร์ธี่, พอล เฮิร์สต์, ไบรอัน คลัฟ และ พอล แลมเบิร์ท แต่ในยุคใหม่พวกเขาเลือกโค้ชหนุ่มที่ไม่เคยคุมทีมอาชีพทีมไหนมาก่อนและชื่อนั้นก็คือ คีแรน แม็คเคนน่า ซึ่งถือเป็นผู้เริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของแทร็คเตอร์ บอยส์ อย่างแท้จริง
1
สร้างทีมจากโค้ช "ไร้น้ำยา"
คีแรน แม็คเคนน่า ถ้าคุณเป็นแฟนบอลของ แมนฯ ยูไนเต็ด คุณจะคุ้นชื่อของเขามาก เพราะเขาคือหนึ่งในมือขวา (ผู้ช่วยโค้ชชุดใหญ่) ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ในช่วงปี 2018 ถึงปีเดือนธันวาคม ปี 2021
ก่อนจะมาอยู่กับ ยูไนเต็ด แม็คเคนน่า เคยเป็นโค้ชทีมยู 18 ของ สเปอร์ส ก่อนจะถูกดึงตัวมาคุมทีมยู 18 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด และทำงานได้ดีจนทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ ยูไนเต็ด เวลานั้นเรียกขึ้นมาเป็นมือขวาแทนที่ รุย ฟาเรีย ที่ทำงานร่่วมกันมา 17 ปีได้ลาออกไป
1
ช่วงเวลานั้น แม็คเคนน่า ได้รับคำชมมากว่าเป็นโค้ชยุคใหม่ที่จัดโปรแกรมการซ้อมเก่ง มีวุฒิปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่แน่นอนว่าในโลกฟุตบอล สิ่งที่แฟนบอลเห็นชัดที่สุดคือผลงาน และผลงานของ โซลชาร์ รวมถึงทีมงานอย่าง แม็คเคนน่า นั้นล้มเหลว เขาถูกแฟนบอลหลายคนมองว่าเป็นโค้ชที่ไร้น้ำยา มีดีแค่นั่งดูไอแพดระหว่างเกม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เป็นรูปธรรม ...
สุดท้าย โซลชาร์ ก็โดนปลด และ แม็คเคนน่า ก็ต้องออกมาเดินบนเส้นทางของตัวเอง ด้วยการไปสัมภาษณ์กับอิปสวิช พร้อมขายโปรเจ็คต์ "ยกเครื่องวิธีการเล่นให้เป็นทีมยุคใหม่"
"อิปสวิช ทาวน์ กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกด้าน เรื่องนอกสนามผู้บริหารทำงานอย่างหนัก แต่ในส่วนของฟุตบอลสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้คือปรับปรุงทีม สไตล์การเล่น และทำมันไปควบคู่กับเกมธุรกิจ"
"เริ่มแรกผมจะทำให้ทีมของผมสนุกกับการฝึกซ้อมด้วยสภาพแวดล้อม สนาม และวิธีการที่เหมาะสม ผมจะพัฒนานักเตะที่มี เจาะลึกความถนัดของแต่ละคน ถ้าพวกเขาเป็นนักเตะที่ดีเมื่อไหร่ คุณก็จะสามารถสร้างทีมที่มีสไตล์ขึ้นมาได้"
การเสริมทัพของ แม็คเคนน่า บอกแบบนั้น ในซีซันแรก (2022-23) เขาใช้เงินแค่ 2 ล้านปอนด์ แต่ได้นักเตะมาร่วมทีมถึง 11 คน ทั้งหมดล้วนเป็นนักเตะดาวรุ่งในแบบฉบับที่สโมสรใหญ่คัดทิ้ง ไม่ต่อสัญญา อาทิ ลีฟ เดวิส (ลีดส์) , เนธาน บรอดเฮด (เอฟเวอร์ตัน) , จอร์จ เฮิร์ส (เลสเตอร์) มีอายุเฉลี่ยแค่ 24.4 ปี และครึ่งหนึ่งของนักเตะชุดแรกที่ แม็คเคนน่า ซื้อมาเป็นตัวหลักของทีมมาจนถึงทุกวันนี้ เรียกว่าใช้กันตั้งแต่ต่อสู้ในลีกวัน จนถึงวันที่จ่อจะเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
อย่างที่ แม็คเคนน่า อธิบาย การเลือกซื้อนักเตะของเขาเลือกที่คนที่จะเข้ามาอยู่ในทีมและสร้างบรรยากาศในเชิงบวก ทำให้การซ้อมสนุกไปพร้อม ๆ กับได้คุณภาพ คุณอาจจะเก่งไม่มาก แต่มีศักยภาพที่พอจะต่อยอดได้ และเป็นคนที่เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่
ดังนั้นการซื้อนักเตะจากที่ถูกคัดทิ้ง อาจจะด้วยเหตุผลที่ดีไม่พอสำหรับทีมในระดับพรีเมียร์ลีก จึงเป็นกลุ่มนักเตะที่ แม็คเคนน่า หยิบจับมาปัดฝุ่นใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเขาอธิบายต่อว่านักเตะที่เคยโดนปฏิเสธ มักจะมีความรู้สึกกระหาย กล้าหาญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีในการเติมสิ่งต่าง ๆ ให้กับพวกเขา แต่ต้องเป็นการค่อย ๆ เติมทีละนิด มองทีละก้าว แต่กลับกลายเป็นว่าวิธีการของเขามันเวิร์กแบบสุด ๆ อย่างเหลือเชื่อ
ไม่มีสตาร์เรามาด้วยกัน
ปีแรกในลีกวันสำหรับ อิปสวิช ของ แม็คเคนน่า ทีมจบด้วยการเป็นรองแชมป์ ยิงได้มากที่สุดในลีก (101 ลูก) , เสียประตูน้อยที่สุดในลีก (35 ลูก) แพ้น้อยที่สุดในลีก (แพ้ 4 - เสมอ 14) จากสถิตินี้ และจบได้ตามเป้า มันแสดงให้เห็นเลยว่านี้คือทีมที่มีวิธีการเล่นที่ถูกต้อง
แม็คเคนน่า นำสไตล์ดังกล่าวเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกด้วย โดยในวันเลื่อนชั้นเขาบอกว่าทีมไม่สามารถวางแผนให้ใหญ่และไกลเกินตัวได้ จากนี้ทุกอย่างจะเป็นเรื่องของการสร้างทีมให้เติบโตอย่างประหยัด จะไม่มีการทุ่มซื้อแบบเกินกว่าเหตุที่เสี่ยงจะย้อนกลับมาทำร้ายทีมในภายหลังเหมือนในอดีตอีกแล้ว
ว่าง่าย ๆ ก็คือพวกเขายังคงวิธีการแบบเดิมนั่นคือเลือกนักเตะที่จุดเด่นที่ตรงวิธีการเล่นของทีมในราคาถูก จากนั้นเพิ่มความเป็นทีมและสร้างจิตสำนึกในการรับผิดชอบร่วมกันเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนคุณภาพโดยรวมของนักเตะ ซึ่งถ้าคุณเปิดรายชื่อนักเตะของ อิปสวิช ในตอนก่อนที่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ จะเริ่ม เชื่อว่าคุณจะเห็นนักเตะคุ้นชื่อคุ้นหน้าแค่น่าจะเกิน 5 คนแน่ ๆ
ทีนี้เราต้องไปดูเรื่องวิธีการเล่นแล้วว่าโค้ชที่เคยถูกมองว่าโหลยโท่ย กับนักเตะที่โดนคัดทิ้ง เป็นตัวสำรองถูกลืมของทีมอื่น ๆ ทำผลงานขนาดนี้ได้อย่างไร? ซึ่งโชคดีมากที่ The Athletic สื่อของอังกฤษเองก็สนใจเรื่องนี้มาก ๆ เหมือนกัน พวกเขาใช้นักวิเคราะห์อย่าง เบน การ์เนอร์ อดีตกุนซือ ชาร์ลตัน และนักเขียนหลายคนตีแผ่วิธีการเล่นของ อิปสวิช ซึ่งพอจะสรุปสั้น ๆ ใน 1 คำที่สุดคือ "โมเดิร์นฟุตบอล"
"สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ คีแรน แม็คเคนน่า นำทีม ๆ ที่มีนักเตะที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากให้เป็นทีมที่เน้นเรื่องการสร้างเกมบุกจากการบิลด์อัพจากแดนหลัง ในโอเพ่นเพลย์ของพวกเขามักจะเล่นบอลเฉลี่ยราว 10 จังหวะ (เริ่มจากการเซ็ตบอลของตัวเอง) สำหรับการเอาบอลเข้าไปเล่นในกรอบเขตโทษคู่แข่ง... อย่าเข้าใจผิด ทีมนี้ไม่ได้เน้นการครองบอลเยอะอย่างที่คุณคิด" แนนซี ฟรอสติค นักเขียนของสำนักข่าวดังเริ่มเล่าพร้อมกางสถิติตัวเลขต่าง ๆ มากมายเพื่อสนับสนุนคำพูดของเธอ
"นี่คือทีมที่ใช้วิธีการสวิตช์บอลเปลี่ยนฝั่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะถ่ายบอลจากซ้ายไปขวา จากอีกฝั่งไปยังพื้นที่ว่างถ้ายังไม่เจอช่อง แต่ถ้าเมื่อใดที่ตัวที่ไม่มีบอลเริ่มขยับ พวกเขาจะเล่นบอลเร็วให้ทะลุแนวรับ เพื่อไปวัดกันข้างหน้าทันที และถ้าเสียบอลก็จะเริ่มสู่วิธีต่อไป..."
"นักเตะของ อิปสวิช จะรุมขย้ำคู่แข่ง (เคาน์เตอร์ เพรสซิ่ง) รุมแย่งบอลกลับทันที โดย แม็คเคนน่า ชอบวิธีนี้มากและได้อิทธิพลจาก ฮันซี่ ฟลิค ที่พา บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยุโรปในปี 2020"
สิ่งที่ทำมันเวิร์กเกินเหตุ อิปสวิช ตั้งเป้าอยู่แค่กลางตารางหรืออยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพให้ได้ในตอนแรก กลับทำผลงานได้ดีสุดในครึ่งซีซั่นแรก ด้วยการเกาะกับ เลสเตอร์ เป็นอันดับ 2 และ 3 ตลอด ไม่เคยตกไปไกลกว่านี้ โดย วิธีการเล่นคือพระเอกของเรื่อง โดย เบน การ์เนอร์ อธิบายแท็คติกและวิธีการเล่นของ อิปสวิช ในเกมที่เปิดบ้านเสมอ เลสเตอร์ ว่า "นี่มันคือคุณภาพเกมระดับพรีเมียร์ลีกไปแล้ว"
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แม็คเคนน่า และ อิปสวิช ไม่เคยหวังไกลตัว เมื่อมาถึงกลางซีซั่นและผลงานดีมากจนถึงขนาดมีลุ้นเลื่อนชั้นอัตโนมัติ พวกเขาจึงใช้งบประมาณก้อนเล็ก ๆ ราว 1-2 ล้านปอนด์เท่านั้น โดยเงินก้อนนี้ถูกใช้ในการเพิ่มค่าเหนื่อยรวมของทีม เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการยืมตัวนักเตะมาเสริมทัพ
การ์เนอร์ ให้คำชม แม็คเคนน่า และทีมบริหารมากที่เลือกลงทุนแค่ 2 ล้านปอนด์ สำหรับการจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะยืมตัว เพราะมันประหยัดกว่าการทุ่มซื้อนักเตะเองมาก ๆ ถ้าตั้งใจซื้อเพื่อยกระดับทีม พวกเขาอาจจะต้องจ่ายเงินมากกว่า 10 และอาจจะไปถึง 15 ล้านปอนด์สำหรับราคานักเตะสมัยนี้ ... ซึ่ง อิปสวิช เคยเจ็บกับเรื่องแบบนี้ไปแล้ว พวกเขาจะไม่เสี่ยงใช้เงินเกินตัวอีก
งบประมาณไม่ถึง 1 ล้านปอนด์ ถูกเปลี่ยนเป็นนักเตะยืมตัวเข้ามา 3 คน โดยมี 2 คนที่เป็นผู้เล่นดีกรีสูงลงเล่นพรีเมียร์ลีกมาแล้วอย่าง เจเรมี่ ซาเมียนโต้ ปีกชาวเอกวาดอร์ของ ไบรท์ตัน ที่เบียดตัวจริงในทีมนกนางนวลไม่ได้ เช่นเดียวกับ เคียฟเฟอร์ มัวร์ ที่เป็นนักบอลตกยุคสำหรับ บอร์นมัธ ส่วนอีกคนคือกองกลางตัวรับอย่าง ลูอิส ทราวิส จาก แบ็คเบิร์น
1
ส่วนอีก 1 ล้านปอนด์ถูกแบ่งออกมาเพื่อซื้อตัวนักเตะระดับลีกวันอย่าง อาลี อัล-ฮามาดี กองหน้าดาวรุ่งชาวอิรักจาก พอร์ทสมัธ ซึ่งแม็คเคนน่า ชอบตั้งแต่ตอนดวลกันใน ลีก วัน เมื่อซีซั่นก่อนแล้ว
4 คนที่เข้ามาช่วยเป็นตัวโรเตชั่นหมุนเวียนตอบโจทย์กับวิธีการเล่นของทีมเป็นอย่างมาก เมื่อบวกกับนักเตะที่มีอยู่แล้วจุดเด่นของ อิปสวิช ชุดนี้คือความฟิต ความกระหาย และที่สำคัญคือการเป็นทีมเน้นช่วยกันเล่นเพราะไม่มีสตาร์แบกทีม พวกเขาไม่มีนักเตะคนไหนเลยที่ยิงประตูเกิน 13 ลูก (นับจากทุกรายการ) แต่ก็แลกมากด้วยการมีนักเตะถึง 23 คน ที่ยิงประตูให้กับทีมในซีซั่นนี้ มากที่สุดเหนือทีมใน นอกจากนี้ยังเป็นทีมที่ปรับเปลี่ยน 11 ตัวจริง (โรเตชั่น) มากที่สุดเหนือทีมใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพทุกทีม อีกด้วย
1
เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาเป็นทีมที่มีพลังใจเหลือล้นมาก เพราะ อิปสวิช ในปีนี้ พวกเขาคือทีมในกลุ่มนำที่ได้จุดโทษน้อยที่สุด (3 ครั้ง - มากสุดคือ เลสเตอร์ 14 ครั้ง) , ได้ประตูจากการยิงแฉลบคู่แข่งน้อยที่สุด (3 ลูก) เล่นในเกมที่คู่แข่งโดนไล่ออกน้อยที่สุด (3 เกม) ยิงชนเสาและคานมากที่สุด (21 ครั้ง) และเป็นทีมที่เปลี่ยน 0 แต้มเป็น 1, จาก 1 แต้มเป็น 3 แต้มด้วยการยิงประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกมได้มากที่สุดในลีกอีกด้วย
“นอกเหนือจากผลลัพธ์ สิ่งที่ผมอยากให้ทีมของผมเป็นคือการทำในสิ่งที่ที่ถูกต้องในแต่ละวัน มันหมายถึง สภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง ความเคารพที่ถูกต้อง การฝึกซ้อมที่ถูกต้อง หวังว่าจะยังคงทำให้เป็นสถานที่ที่น่าดึงดูดสำหรับนักเตะ ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาพร้อมที่จะลงเล่น ฝึกซ้อม ด้วยความทุ่มเท"
“ผมยกย่องนักเตะของผมทุกคน เพราะพวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ดีจริงๆ อย่างที่ผมบอกไปหลายครั้ง เรามีความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมในกลุ่มและมีผู้เล่นซีเนียร์บางคนที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้ที่เข้ามา นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำงานต่อไป”
เคียแรน แม็คเคนน่า ได้รับรางวัลส่วนตัวไปแล้วจากทั้งหมดที่กล่าวมา ในฐานะตำแหน่งกุนซือยอดเยี่ยมแห่ง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในซีซั่นนี้ เป้าหมายต่อไปคือการเก็บเพียง 1 แต้มในเกมสุดท้ายกับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ที่ตกชั้นไปแล้วให้ได้ เท่านี้พวกเขาก็จะได้ "รับรางวัลทั้งทีม" ด้วยการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ... นี่คือผลงานที่สุดยอดของการทำทีมที่ใช้งบประมาณแบบจำกัดสุด ๆ แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลสำหรับวงการลีกรองอย่างไม่ต้องสงสัย
1
โฆษณา