Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หงส์ปีกหัก
•
ติดตาม
4 พ.ค. 2024 เวลา 05:24 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ย่อโลก บทที่ 1 ฉากที่ 3
ศิลปะ วัฒนธรรมและเกษตรกรรม ถือปัจจัยสำคัญอย่างมากที่ก่อให้เกิดอารยธรรมมนุษย์ ในระยะแรกนั้นมนุษย์ยังมีการดำรงชีพเหมือนช่วงยุคหินที่ยังมีการอาศัยในเพิงผา มีการล่าสัตว์อยู่ หลักฐานภาพวาดที่พบเจอในถ้ำต่างๆโดยเฉพาะถ้ำโชเวท์ในตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีอายุราว 30,000 ปี ซึ่งนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีชี้ว่า นี่คือหลักฐานการอาศัยอยู่ของมนุษย์ในถ้ำ ดูเหมือนว่าในช่วงรอยต่อการสร้างอารยธรรมนั้น วิถีชีวิตของมนุษย์จะมีความเกี่ยวข้องกับถ้ำในหลายๆอย่าง
ภาพวาดแรดในถ้ำโชเวท์ ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เป็นหลักฐานความเป็นอยู่ของมนุษย์ในฐานะมนุษย์ถ้ำ ในช่วง 30,000 ปีที่แล้ว อ้างอิงภาพจาก https://travel.trueid.net/detail/Exr8pMzRLGVK
การสร้างอารยรธรรมของมนุษย์ในมุมมองของนักประวัติศาสตร์นั้นมันบ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านจากช่วงเวลาของการเร่ร่อนของมนุษย์ สู่การหยุดอยู่กับที่ของมนุษย์และเข้าสู่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ช่วงท้าย อารยธรรมของมนุษย์นั้นดังที่เคยกล่าวไปในช่วงที่แล้วนั้น สิ่งแรกในการพิจารณาในการตั้งอารยธรรมธรรมของมนุษย์นั้น มีปัจจัยสำคัญง่ายๆที่ใช้พิจารณามีเพียงแค่ 2 ปัจจัย คือ แหล่งน้ำและพื้นที่ ด้วยในช่วงการสร้างอารยธรรมทำของมนุษย์นั้น เป็นช่วงหลังการปฏิวัติการเกษตรกรรม ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว
ทำให้มนุษย์ต้องคำนึงพื้นที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูกเป็นสำคัญ ซึ่งบริเวณที่เหมาะแก่การเพาะปลูกที่สุดคือ บริเวณแหล่งน้ำจืด เนื่องจากบริเวณน้ำจืดเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การทำการเกษตรและนำมาอุปโภค บริโภคได้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมได้อีกเช่นกัน พื้นที่แหล่งน้ำที่เหมาะสมกับการตั้งอารยธรรมที่สุดนั่นคือ บริเวณลุ่มแม่น้ำ ซึ่งเป็นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยเป็นดินตะกอนซึ่งเป็นดินที่เหมาะแก่การเกษตร การคมนาคม การอุปโภค บริโภค
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เองทำให้มนุษย์เลือกที่จะตั้งอารยธรรมในบริเวณลุ่มแม่น้ำ ดังที่เราจะพบว่าอารยธรรมธรรมส่วนใหญ่บนโลกในยุคโบราณนั้นจะตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำ นั่นคือ อารยธรรมอียิปต์โบราณ อายุราว 3,150 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อายุราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บริเวณระหว่างแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทิสหรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน อารยธรรมอินเดีย อายุราว 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ และอารยธรรมจีน อายุราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งก็ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห
แผนที่แสดงที่ตั้งของอารยธรรมอียิปต์หรืออารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นอารยธรรมที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้งริมฝั่งแม่น้ำไนล์นั้นเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การทำการเกษตร อ้างอิงภาพจาก https://baugchamp.wordpress.com
ช่วงเวลาการคงอยู่ของอารยธรรมนั้นอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคก่อนประวัติศาสตร์ในช่วงยุคโลหะกับยุคประวัติศาสตร์ทำให้ ฟังดูอาจจะไม่ได้สำคัญอะไร แต่หากเราพิจารณาคำกล่าวนี้อย่างพินิจดีๆจะรู้ว่า ในการเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากบริเวณที่ตั้งของอารยธรรม กว่าจะเข้าสู่ฉากประวัติศาสตร์นั้นในช่วงเวลาการเป็นช่วงศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา นวัตกรรมในยุคโบราณกำลังเฟื่องฟูและก่อกำเนิดขึ้น
แต่สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อารยธรรมต่างๆเบ่งบานนั้น มี 3 สิ่งที่ถือเปลี่ยนวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์นั้น คือ สิ่งแรกที่เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ประการแรกนั่นคือ ศาสนา จากครั้งก่อนผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ศาสนาไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่นัก แต่การก่อกำเนิดอารยธรรมทำให้ศาสนา ในช่วงต้นมีความเป็นระบบมายิ่งขึ้น มีการจัดพิธีกรรมที่มีความเป็นแบบแผนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ศาสนาในช่วงต้นนั้นเป็นศาสนาผี ที่นับถือผี
ซึ่งต่อมามีวิวัฒนาการไปสู่การนับถือเทพเจ้า ซึ่งศาสนาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือ ศาสนาโซโลอัสเตอร์ ศาสนาพราหมณ์ ความเชื่อเรื่องเทพไอยคุปต์ และความเชื่อเรื่องเทพเจ้าจีน ซึ่งหากเราสังเกตจะพบว่า ศาสนาในยุคโบราณนี้นั้นจะเป็นศาสนาในกลุ่มเทวนิยม ในประเภทกลุ่มพหุเทวนิยม
สิ่งต่อมาเป็นสิ่งที่เกี่ยวของกับวิถีชีวิตของมนุษย์ที่รวมตัวกันจนเป็นสังคมกลุ่มใหญ่ นั่นคือ การเมืองและกฎหมาย ซึ่งเป็นกรอบและบรรทัดฐานของสังคม โดยผู้ปกครองได้วางรากฐานเพื่อให้สังคมที่วุ่นวายถูกควบคุมให้เกิดความเรียบร้อย ซึ่งกฎหมายในช่วงแรกนั้น มีความเรียบง่าย มีบทลงโทษที่ไม่ได้เป็นขั้นตอนมากมาย แต่เป็นการลงโทษตามความผิดที่กระทำ หรือที่เรียกว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
ซึ่งกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดและเรารู้จักกันดีในชื่อ “ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี”ของชาวสุเมเรียนในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ในด้านของการเมืองถือว่าเป็นยุคมนุษย์ผันแปรสภาพ สถานะผู้ปกครอง โดยในอดีตนั้น มนุษย์ก็เช่นเดียวกับสัตว์ต่างๆคือ ในฝูงหรือในกลุ่มต่างๆมีการเลือกผู้นำเผ่าหรือผู้นำกลุ่มเพื่อเป็นผู้ชี้นำทืศทางการดำรงอยู่ของกลุ่มของตน
แต่เมื่อมาถึงช่วงของอารยธรรมได้มีการรวมตัวของกลุ่มคนมากมายทำให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของผู้ปกครองชนเผ่าหรือชนชาติที่เกิดจากกลุ่มคนต่างๆโดยได้มีการนำศาสนาเข้ามาผูกกับการเมือง โดยยกให้ผู้นำมีความเกี่ยวโยงกับพลังอำนาจของเทพ ทำให้ผู้นำถูกยกสถานะให้สูงกว่าบุคคลทั่วไป โดยพื้นที่ต่างๆมีความแตกต่างๆกัน เช่น ผู้นำได้รับอำนาจมาจากเทพเพื่อปกครองผู้คน หรือ ผู้นำเป็นลูกหลานของเทพ
ซึ่งหากเราสังเกตดูจะรู้ถึงสาเหตุของการยกสถานะและการนำศาสนามายึดโยงกับผู้ปกครอง นั่นคือ ความชอบธรรม เพื่อให้ผู้นำหรือผู้ปกครองมีอำนาจในการปกครองผู้คนโดยชอบธรรม ทำให้ผู้ปกครองมีสิทธิ์ในการปกครองผู้คนและกำหนดสถานะของผู้คน จัดระบบระเบียบสังคม อำนาจโดยชอบธรรมที่ผู้นำหรือผู้ปกครองอ้างถึงที่ดีที่สุดคือ อำนาจจากเทพหรือเบื้องบน
ซึ่งด้วยเหตุนี้เองในช่วงแรกอำนาจการปกครองถูกอ้างถึงมักจะเกี่ยวข้องกับศาสนาและพิธีกรรม ซึ่งหากคุณเป็นนักรัฐศาสตร์คุณจะรู้จักรูปแบบนี้ในฐานะทฤษฎีกำเนิดรัฐในแบบ “ทฤษฎีเทวสิทธิ์” อันเป็นที่มาของตำแหน่งผู้ปกครองที่ราเรียกว่า “กษัตริย์”
ส่วนสิ่งประดิษฐ์สุดท้ายหรือนวัตกรรมสุดท้ายที่เกิดขึ้นในช่วงอารยธรรมเบ่งบาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากในฐานะสิ่งที่ทำให้โลกของเราได้โบกเช็ดหน้าบอกลายุคก่อนประวัติศาสตร์และมุ่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ นั่นคือ ภาษาและตัวอักษร นี่คือสิ่งที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงของมนุษย์เมื่อมนุษย์เริ่มที่จะจดบันทึกและร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆ
ตัวอักษรที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุดที่เรารู้จักนั่นคือ ตัดอักษรลิ่ม-คูนิฟอร์ม ซึ่งเกิดขึ้นในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรืออีกแห่งหนึ่งที่เก็รู้จัก นั่นคือ อักษรฮีโรกริฟฟิค ซึ่งเกิดขึ้นในอารยธรรมอียิปต์ การเกิดขึ้นของตัวอักษรและภาษาถือเปลี่ยนโลกทั้งใบ คำพูดนี้ถือว่าไม่เกินจริงเลย
เนื่องจากการเกิดขึ้นของภาษาและตัวอักษรทำให้มนุษย์มีสื่อกลางในการสื่อสารของมนุษย์เข้าใจตรงกัน พร้อมทั้งมันยังสร้างสีสันต์และความเพลิดเพลินให้กับมนุษย์ เนื่องจากมันถูกใช้ในการแต่งเรื่องราวต่างๆหรือมหากาพย์ต่างๆ โดยมหากาพย์ที่เรารู้จักกัน นั่นคือ มหากาพย์กิลกาเมช ซึ่งเป็นมหากาพย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
จารึกมหากาพย์กิลกาเมชโดยบันทึกด้วยอักษรลิ่ม-คูนิฟอร์มบนแผ่นดินเหนียว เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการนำตัวอักษรมาใช้ในการบันทึกเรื่องต่างๆ อ้างอิงภาพจาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%8A
นอกจากนี้ตัวอักษรยังใช้ในทางศาสนา โดยนำมาใช้ในการบันทึกคัมภีร์ทางศาสนา เพื่อใช้สำหรับการศึกษาเรื่องราวทางศาสนาและส่งต่อเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ตัวอักษรถือเป็นนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์และเปลี่ยนชีวิตของมนุษย์ไปตลอดกาล
หลังจากเราได้ท่องเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้ว นอกจากเราวิเคราะห์เรื่องราวและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันยาวนั้นแล้ว เราต้องแกะร่องรอยเพื่อเข้าใจการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน บทเรียนที่เราควรจะเรียนรู้ในช่วงเวลานี้ที่ผู้เขียนจะยกขึ้นมาให้ตื่นใจผู้อ่านนั้น คือ การคิดสร้างสรรค์
ชีวิตของเรามักจะถูกจำกัดความคิดเอาไว้จากสังคม ผู้คนและครอบครัว ทำให้เราถูกจำกัดไม่ให้กล้าที่จะคิด กล้าที่จะลอง แต่กระนั้นก็ตามหากเรามีความอดทนอดกลั้นและใจกว้างที่มากพอที่เราจะเปิดโอกาสให้ทุกคนกล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำสิ่งต่างๆที่แปลกใหม่ ดังที่บรรพบุรุษเรากล้าที่จะคิดค้นภูมิปัญญาและนวัตกรรมใหม่ ระเบิดความคิดออกมาเป็นสิ่งประดิษฐ์และภูมิปัญญาที่เปลี่ยนโลกดังที่กล่าวมา มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจินตนาการมากมาย แต่ด้วยระบบไม่ได้เอื้อให้พวกเขาได้ระเบิดความคิดและจินตนาการ
แต่หากเราผ่อนปรนเพื่อให้ทุกคนได้สร้างสรรค์ภูมิปัญญาและนวัตกรรมต่างๆอาจจะทำให้เราได้เห็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนอีกครั้ง ดังเช่นที่บรรพบุรุษของเราในอดีตได้คิดค้นภาษาและตัวอักษรที่เปลี่ยนโลกและทำให้เรามีสื่อการในการสื่อสารให้เราได้ใช้มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
1
19
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
A Brief History of the World ประวัติศาสตร์ย่อโลก
1
1
19
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย