7 พ.ค. เวลา 03:31 • ท่องเที่ยว
แคลิฟอร์เนีย

ไป Road Trip ที่อเมริกากัน

Chapter 71/1: Unforgettable Road Trip in USA
กลับมาอีกแล้วกับ Road trip ฉ่ำๆ ที่อเมริกา คราวนี้เราขอเที่ยวเปิดหูเปิดตาฝั่งตะวันตกแถว Los Angeles กันมั่ง อยู่แต่ฝั่ง New York มาหลายทริปละ บอกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่สนุกและตื่นตาตื่นใจมากๆ เลยล่ะ
ทริปนี้เราจะใช้เวลาเที่ยวประมาณ 14 วัน สมาชิก 5 คน กับรถตู้ 1 คัน เช่าบ้าน Airbnb ทั้งหมด 5 หลัง 4 เมืองใน 3 รัฐ ฟังแค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยละ 😂
โดยเราเลือกเดินทางกับ Singapore Airline เพราะดูแล้วคุ้มสุดทั้งราคา ที่นั่ง การบริการบนเครื่อง เวลาต่อไฟล์ท และไมล์สะสม บินกันยาวๆ ประมาณ 21 ชั่วโมงไปลงที่ LA
ตอนเครื่องกำลังลงที่ LA บอกเลยว่าไม่เคยเห็นวิวแบบนี้มาก่อน เพราะแผ่นดินด้านล่างที่เห็นมีแต่แสงไฟเต็มไปหมดเลย
เมือง LA ยามค่ำที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
ปกติเมืองส่วนใหญ่ที่เคยเห็นจะมีพื้นที่ว่างเปล่าสลับกับแสงไฟที่กระจุกอยู่ตรงกลางเมือง แต่ของ LA นี่ไฟเต็มพื้นที่แทบจะไม่เห็นพื้นที่ว่างเปล่าเลย
เครื่องบินเคลื่อนตัวไปทางไหนก็ยังเห็นแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนเต็มไปหมด
ก่อนอื่นมารู้จัก LA กันซักหน่อยค่ะ
ชื่อเมืองลอสแอนเจลิส (Los Angeles) มาจากคำว่า "โลสอังเฆเลส" (Los Ángeles) ซึ่งเป็นภาษาสเปนหมายถึงทูตสวรรค์หลายๆ องค์ ชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า "เมืองแห่งทูตสวรรค์" นั่นเอง
เมือง LA อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียทางทิศตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจาก New York คือประมาณ 3.9 ล้านคน
1
สเปนคือชาติแรกที่เข้ามาสำรวจและยึดดินแดนแถบนี้เป็นอาณานิคมตั้งแต่ปี 1542 ต่อมา LA ก็ถูกเปลี่ยนมือไปเป็นอาณานิคมของเม็กซิโกในต้นศตวรรษที่ 19 จนท้ายสุดในปี 1850 ก็ถูกซื้อมาและกลายเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา เราจึงจะยังสัมผัสได้กับกลิ่นอายของวัฒนธรรมแบบสเปนและเม็กซิโกที่มีให้เห็นไม่ว่าจะเป็นอาหาร ตึกรามบ้านช่อง หรือผู้คน
นอกจากนั้น LA ยังเป็นที่รู้จักในฐานะที่ตั้งของ "ฮอลลีวูด" (Hollywood) ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีกด้วย
สภาพภูมิประเทศของ LA จะเป็นที่ราบลุ่มล้อมรอบไปด้วยภูเขา มีอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ค่อนข้างอบอุ่นสบายตลอดทั้งปีไม่มีมรสุม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 13–22 องศาเซลเซียส คนก็เลยอพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่กันที่เมืองนี้มาก (ไม่สงสัยละว่าทำไมถึงเห็นแสงไฟจากบ้านเรือนเต็มพื้นที่ไปหมด)
LA เป็นเมืองที่มีความผสมผสานของคนจากหลายหลายเชื้อชาติ และก็เป็นเมืองที่มีคนเอเชียอาศัยอยู่เยอะที่สุดในอเมริกา ที่นี่มีย่านเอเชียมากมายไม่ว่าจะเป็น Little Tokyo, China Town, Korean Town และก็มี Thai Town ด้วย
สวัสดีค่ะ LA
อยากจะบอกว่าด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ LA นี่เร็วมากๆ เร็วกว่าที่ NY เย๊อะ เคลียคนเร็วสุดๆ ต.ม. ก็ไม่เห็นถามอะไรเลย เรารอไม่นานก็ผ่าน ต.ม. ไปรับกระเป๋าแล้ว
เนื่องจากไฟล์ทเรามาถึงประมาณ 21.30 วันนี้เราก็จะตรงเข้าบ้าน Airbnb กันเลย จะได้ไปนอนให้เต็มที่ซะหน่อย
หน้าบ้านถ่ายตอนเช้า เพราะเมื่อคืนมาถึงดึกแล้ว
บ้านที่เช่าเป็นบ้านขนาด 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง LA แต่อยู่ในแถบ Huntington Beach ไกลจากตัวเมืองประมาณ 40 นาที
ครัวและโต๊ะกินข้าว
ห้องนั่งเล่น
มีห้องนั่งเล่นซ้อนในห้องนั่งเล่นอีก
เป็นบ้านที่มีพื้นที่ส่วนกลางใหญ่มากเลย ถัดมาเป็นโซนห้องนอน
ห้องนอน 1
ห้องนอน 2 เป็น Bunk Beds
2 ห้องนอนนี้เชื่อมต่อด้วยห้องน้ำตรงกลาง
ถัดมาเป็นอีก 2 ห้องนอน
ห้องนอน 3 ก็เป็น Bunk Beds
มีโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ
ห้องนอน 4 ไม่มีเตียงแต่เป็น Sofabed
ห้องน้ำอีก 1 ห้อง
โดยรวมก็เป็นบ้านที่โอเคค่ะ มีของใช้ให้พร้อมทำอาหารได้สะดวกดี ติดแค่ห้องน้ำจะเล็กไปนิดนึง ไม่มีที่ให้วางของเท่าไหร่
จบการรีวิวบ้านหลังแรกของพวกเรา ไปนอนพักผ่อนให้หาย Jet Lag กัน
วันที่ 2 เป็นวันที่ไม่ได้ทำอะไรมากเนื่องจากเน้นพักผ่อนปรับเวลา บ่ายๆ ขับรถเข้าไปสำรวจในเมืองนิดหน่อย แต่มื้อเย็นได้ไปกินร้านอาหารเวียดนามที่มีคนแนะนำว่าอาหารทะเลเค้าอร่อยและร้านก็อยู่ไม่ไกลบ้านด้วย
Tan Cang Newport Seafood
มื้อนี้เราไปกันทั้งหมด 7 คน ปล่อยให้ผู้ชำนาญการเป็นคนสั่งอาหาร ได้มาเต็มโต๊ะเลย
มีหอย ปลาหมึก เต้าหู้ทอด ผัดผัก และทีเด็ดของร้าน Newport Special Lobster
เอามือเทียบให้ดูว่าตัวมันใหญ่มาก
กุ้งมังกรของเค้าตัวใหญ่มาก เอามาผัดกับซอสที่เป็น signature ของทางร้านที่หอมไม่เผ็ดพริกไทยดำมาก กุ้งสด หวาน เนื้อเด้งรสชาติอร่อยค่ะ
1
จบวันที่ 2 ไปอย่างอิ่มหมีพีมัน
วันที่ 3 หลังจากที่ให้สารถีพักผ่อนปรับเวลากันหนึ่งวันเต็ม วันนี้เราจะเริ่ม road trip กันละค่ะ
โดยเราจะเริ่มจาก LA รัฐ California จากนั้นขับรถไปที่เมือง Phoenix รัฐ Arizona พักกันที่นั่น 3 คืน ย้ายไปที่เมือง Flagstaff พักที่นั่นอีก 3 คืน ไปต่อที่ Las Vegas รัฐ Nevada อีก 3 คืน ปิดทริปที่ LA พักอีก 2 คืนเพื่อขึ้นเครื่องกลับบ้านกันค่ะ
1
จาก LA ไป Phoenix ต้องนั่งรถกันยาวๆ ประมาณ 5 ชม. เลย และจากบทเรียนในทริปก่อนที่ต้องนั่งเบียดไปกับกระเป๋า คราวนี้เราเลยเช่าเป็นรถตู้แบบ 12 ที่นั่งซะเลย ซึ่งเบาะแถวหลังสุดจะถูกเอาออกแล้วใช้เป็นที่เก็บสัมภาระแทน ทำให้ตลอดการเดินทางไม่เหนื่อยเลย นั่งกันไปสบายๆ คนละแถว
ป.ล. ถ้าจะเช่ารถตู้ประเภทนี้ต้องเลือกแบบ 12 ที่นั่งนะคะ ห้าม !!! เลือกแบบ 15 ที่นั่งเด็ดขาดเพราะปรับเบาะไม่ได้เลย เอาเบาะออกก็ไม่ได้ วันแรกที่รับรถทางศูนย์ดันให้มาเป็น 15 ที่นั่งต้องไปเสียเวลาทำเรื่องเปลี่ยนรถอีก
รถคู่ใจตลอดทริปของเรา
ออกมานอกเมืองแล้ว ถนนโล่ง ขับสบาย
วิวสองข้างทางจะเป็นภูเขาไปตลอดทาง
สิ่งหนึ่งที่สังเกตุตอนอยู่ LA คือเมืองนี้รถเยอะมากกกกกก คิดว่าด้วยความที่ประชากรเยอะ ทำให้ที่พักอาศัยกระจายตัวออกมาอยู่ชานเมืองเยอะ พอคนต้องเดินทางเข้าออกเมืองกันมากก็เลยจำเป็นต้องมีรถขับเพราะสะดวกในการเดินทางมากกว่ารถสาธารณะ
ในช่วง office hour บนถนน freeway หรือทางด่วนที่เห็นมี 5–6 เลน รถจะเยอะมากๆ เต็มทุกเลน แต่ถึงรถจะเยอะแต่ก็เคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ ไม่ได้ติดแหง็กจอดแช่เป็นชั่วโมงแบบบ้านเรา ถามว่ารถติดมากมั้ย เราว่ามากแต่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายมาก
ระหว่างทางออกนอกเมืองจะเห็น Wind Farm ที่ติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าเยอะมาก และแต่ละที่ก็ใหญ่มากๆ ซึ่งฟาร์มกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาก็อยู่ในรัฐ California นี่เอง
Wind Farm ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
หลังจากออกเดินทางมาประมาณชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางเราก็แวะกินข้าวเที่ยงที่เมืองปาล์มสปริงส์ (Palm Springs) กันค่ะ
Palm Springs
ที่ Downtown Palm Springs น่ารักมากเลย ดูเป็น oasis ท่ามกลางทะเลทรายที่แท้ทรู นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ
ตั้งใจจะมากินร้าน Farm แต่คนเยอะมาก ต้องรอประมาณชั่วโมงกว่าก็เลยต้องหาร้านอื่น ได้มาเป็นร้านนี้แทน Maracas Mexican Cantina & Grill
ร้าน mexican แต่ไม่สั่งอะไรที่เป็น Mexican มากินเลย 😂
เจอขนมอันนี้อร่อยมากเลยชื่อ Beignet
Beignet
เจ้า Beignet (เบนเย) นี่จริงๆ เป็นขนมที่มาจากฝรั่งเศส รสชาติจะคล้ายๆ กับซาลาเปาทอดที่ขายคู่กับปาท่องโก๋ ราดด้วยน้ำเชื่อมและน้ำตาลไอซิ่งโปะวิปครีมและผลไม้ อร่อยดีค่ะ
อิ่มท้องละก็ไปเดินเล่นนิดนึง
ย่าน Downtown Palm Springs
Palm Springs เป็นเมืองที่อยู่กลางทะเลทรายมีภูเขาล้อมรอบ เป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศที่คนนิยมมามากเพราะอากาศดี แดดจัด เวลามีงานเทศกาลดนตรี Coachella คนก็จะนิยมมาพักที่นี่
1
ในเมืองจะเห็นต้นปาล์มที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมดสมชื่อ Palm Springs จริงๆ เป็นวิวที่สวยมากเหมือนอยู่ในโอเอซิสเลย
จาก Palm Springs เราตั้งใจจะไปแวะเที่ยวที่ Joshua Tree National Park (อุทยานแห่งชาติโจชัวทรี) แต่พอไปถึงทางเข้าเจอกับรถที่เยอะมากๆ ดูแล้วน่าจะต้องใช้เวลารอเข้านาน เดี๋ยวจะไปถึง Phoenix ค่ำก็เลยต้องยกเลิกไป
แต่ยังไม่ถึงกับผิดหวังเพราะยังมีต้น Joshua Tree ให้เห็นตามข้างทาง สรุปเลยจอดรถถ่ายรูปกับต้นไม้ข้างทางแทนซะเลย
Joshua Tree
ที่เราอยากมาเห็น Joshua tree เพราะลักษณะที่ประหลาดตาของมัน มันเป็นต้นไม้ที่มีรูปร่างหงิกๆ งอๆ มีใบทรงหนามๆ แหลมๆ (แต่ดูไปก็สวยดีนะ) เป็นต้นไม้พื้นเมืองของทะเลทรายโมฮาวี (Mojave Desert) ที่จะพบได้แค่ไม่กี่แห่ง โดยเฉลี่ย Joshua tree จะโตเพียงปีละ 2–3 นิ้วเท่านั้น และสามารถมีอายุได้นานถึง 300 ปีเลยทีเดียว
Mission completed ได้ถ่ายรูปกะ Joshua Tree แล้ว 😁 มุ่งหน้าไปที่เมือง Phoenix กันเลยค่ะ
ระหว่างทางอดใจไม่ไหวกับวิวภูเขาที่เห็นเบื้องหน้าพวกเราจนต้องจอดรถลงมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เสียดายที่ความสวยของธรรมชาติที่พวกเราถ่ายมาเทียบไม่ได้กับที่เห็นด้วยตาเลย
วิวที่สุดอลัง
ขับรถต่อไปอีกเกือบ 3 ชั่วโมงเราก็ถึงบ้าน Airbnb หลังที่ 2 ที่เมือง Phoenix รัฐ Arizona ค่ะ Blog หน้ามาอ่านกันต่อนะว่าแถวนี้จะมีอะไรให้เที่ยวให้ทำบ้าง เห็นเป็นเมืองทะเลทรายแบบนี้ ขอบอกเลยว่าแต่ละที่ที่เราไปกันมันเจ๋งมากค่ะ
ปิด Blog นี้ด้วยรูปรุ้งกินน้ำที่เห็นระหว่างทาง
แล้วพบกันใน Blog หน้านะ สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา