7 พ.ค. เวลา 15:36 • หนังสือ

ปรัชญาชีวิตจากมุมมองของจักรวาล

คนเกิดในเมืองพุทธย่อมเคยชินกับคำสอนเรื่องความไม่แน่นอน หรือ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” เราย่อมคุ้นชินกับอุบายพิจารณาความตายและความเสื่อมอย่างหนึ่งคือ อสุภกรรมฐาน เป็นวิธีพิจารณาความเสื่อมของชีวิต เพื่อให้แลเห็นชีวิตตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์บางคนแนะนำให้ไปนั่งสมาธิในป่าช้า เพื่อให้ได้บรรยากาศ!
11
อสุภกรรมฐานมาจากคำว่า อสุภ (ไม่สวย) + กรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการงานหมายเอาอุบายทางใจ) หมายถึงอุบายทางใจโดยพิจารณาสิ่งไม่สวยงาม โดยมากมักหมายถึงซากศพ โดยใช้ซากศพเป็นเครื่องมือในการพิจารณา เพราะซากศพน่าจะเป็นที่สุดของความไม่น่าดูแล้ว
3
การพิจารณาอสุภกรรมฐานมีหลายอย่าง หลักการคือมองเห็นซากศพต่างๆ ที่ไม่สวยไม่งาม น่าขยะแขยง เพื่อทำให้เราเข้าใจว่า ความเสื่อมของสังขารเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยง และเกิดขึ้นกับทุกคน
2
พิจารณาให้รู้ว่าร่างกายของเราไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็เหี่ยวย่น และเมื่อเราตาย ร่างกายก็เสื่อม เน่าเปื่อย ท้ายที่สุดก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ
2
ประโยชน์อย่างหนึ่งของอสุภกรรมฐานคือยับยั้งราคะจริตและความอยาก (ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องเพศเสมอไป) ทำให้ได้สติ เกิดปัญญา
3
แต่จุดที่สำคัญก็คือ เพื่อให้เราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราเกิดมาเพื่ออยู่ชั่วคราว แล้วจากไป
1
ในเรื่องนี้ผมเลือกมองลึกกว่านั้น
‘มองลึกกว่า’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่ามีปัญญามากกว่า แต่หมายความตรงคำ คือมองลึกแบบใช้กล้องจุลทัศน์ ส่องลึกลงไปถึงเซลล์ และจินตนาการว่าเรามองลึกไปถึงโมเลกุลและอะตอม
ผมเรียกเองว่า อะตอมกรรมฐาน
2
ยกตัวอย่าง เช่น ผมมองที่นิ้วชี้หรือนิ้วก้อย จินตนาการมองลึกลงไป จะพบว่านิ้วนี้ประกอบด้วยเซลล์ต่าง ๆ มากมาย เมื่อมองลึกลงไปอีก แต่ละเซลล์ก็ประกอบด้วยอะตอมจำนวนมหาศาล นับไม่ถ้วน
4
อะตอมเหล่านี้ก็คืออะตอมของธาตุต่าง ๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอน เหล็ก ทอง ฯลฯ
อะตอมก็เหมือนตัวเลโก้ที่ประกอบเป็นรูปทรงอะไรก็ได้ พวกมันก็คือ building blocks แห่งจักรวาล ตัวเลโก้แห่งจักรวาลนี้อยู่มานานแล้ว อาจตั้งแต่กำเนิดจักรวาล พวกมันประกอบรูปหรือเปลือกต่าง ๆ นับไม่ถ้วน กว่าจะมาประกอบเป็นนิ้วของเรา และตัวเรา
3
อะตอมตัวเดิม เปลี่ยนแค่เปลือก
บางครั้งเปลือกนี้ไร้ชีวิต บางครั้งมีชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น อะตอมออกซิเจนสองตัวไปเจออะตอมไฮโดรเจนหนึ่งตัวที่ย่านดาวน์ทาวน์ของทางช้างเผือก ก็ผสมกันเป็นน้ำหนึ่งโมเลกุล
2
ถ้าอะตอมไฮโดรเจนสองตัวนั้นไม่จับกับออกซิเจน มันก็อาจไปจับกับอะตอมอื่น กลายเป็นสิ่งอื่น ไม่ว่าเป็นสิ่งไร้ชีวิตหรือสิ่งมีชีิวิต
1
สำหรับอะตอมที่รวมกันเป็นน้ำนี้ ถ้าไม่มีการแยกตัว ก็อาจอยู่ด้วยกันเป็นพันๆ ล้านปี น้ำนี้อาจอยู่ในดาวหาง วิ่งข้ามดาราจักรมาชนโลกเรา และอาศัยที่โลกเรานี่แหละ วันดีคืนดีก็อยู่ในร่างกายเรา
2
ดังนั้นน้ำที่เราดื่มทุกวันนี้ หรือที่เขาบรรจุขวดขายแพง ๆ อาจเป็นน้ำที่ไดโนเสาร์เคยซด อาจเคยเป็นเมฆ อาจเป็นฝนที่ตกลงมากลางทุ่งของชาวนา อาจเคยอยู่ในเลือดของ เจ็งกิส ข่าน หรือเคยเป็นน้ำลายของฮิตเลอร์ตอนปราศรัยใหญ่
2
นี่แสดงว่าอะตอมจำนวนมหาศาลที่เกาะกลุ่มกลายเป็นตัวเราในขณะนี้ ก็คืออะตอมที่ลอยล่องอยู่ในจักรวาล พวกมันอาจเคยเป็นดาวมาก่อน อาจเป็นดาวมาแล้วหลายรอบ
2
เรารู้ว่าเรามีธาตุเหล็กในร่างกาย เลือดเรามีเหล็กมาก แต่รู้ไหมว่าเราก็มีธาตุทองในตัวเรา อยู่ในสมอง หัวใจ เลือด ข้อต่อต่างๆ คนที่น้ำหนัก 70 กก. มีทองในร่างกายราว 0.22 ม.ก.
ธาตุทองในตัวเรามาจากไหน? ก็เกิดมาจากดวงดาวขนาดใหญ่ระเบิดในรูปซูเปอร์โนวา แล้วมันก็ลอยเท้งเต้งไปมา วันหนึ่งก็มาเกาะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา
นี่แสดงว่าอณูทองของเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวขนาดใหญ่ และเคยผ่านการระเบิดใหญ่มาแล้ว
น่าตื่นเต้นไหม?
เปรียบเทียบแบบง่าย ๆ คือถ้าเราแต่ละคนเป็นอาหารหนึ่งจาน เราก็เกิดจากการปรุงแต่งของพ่อครัวธรรมชาติ โดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ ก็คือธาตุต่าง ๆ
1
ถ้าเปรียบอะตอมเป็นนักแสดง เราก็เป็นเพียงหนังเรื่องหนึ่ง สร้างเสร็จแล้ว พวกอะตอมก็ไปเล่นเรื่องใหม่
2
ถ้าเราสามารถพูดคุยกับอะตอมแต่ละตัวได้ และสัมภาษณ์พวกมันว่ามันมาจากไหน บ้านเกิดอยู่ที่ไหน เราอาจได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึง
อะตอม ก. บอกว่า “ฉันเป็นอะตอมออกซิเจน ฉันเกิดไม่นานหลัง บิ๊ก แบง ฉันเดินทางไปมาในจักรวาล แวะหลายที่ ประกอบเป็นสิ่งต่าง ๆ หลายครั้ง ตอนนี้ฉันประกอบเป็นนิ้วชี้ของคุณ”
อะตอม ข. ตอบว่า “ผมเป็นอะตอมไฮโดรเจน ผมอายุยาวพอกับจักรวาล ผมเดินทางท่องจักรวาลมาหมื่นล้านปี เคยประกอบเป็นดวงอาทิตย์ เคยเป็นดาวเคราะห์ เคยเป็นดาวหาง มีอยู่ปีหนึ่งผมติดดาวหางมาแถวนี้ เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์นี้ แล้ววันหนึ่งหลุดมาอยู่ในโลกนี้ แล้วตอนนี้มาอยู่ในนิ้วชี้ของคุณ”
3
อะตอม ค. บอกว่า “ผมเกิดมาตั้งแต่ช่วงแรกของจักรวาล เมื่อดาวบ้านเกิดผมแตกสลาย ผมหลุดออกมา แล้วไปตั้งหลักในดาวหลายดวง วนวียนอยู่ในอวกาศนานหลายล้านปี ในที่สุดเพื่อนก็ชวนไปประกอบเป็นดาวเคราะห์ดวงนึง ผ่านไปหลายพันล้านปี ดาวเคราะห์ดวงนั้นพัง ผมก็หลุดออกมา ลอยมาจนถึงเนบิวลาแถวนี้ พอดวงอาทิตย์ของคุณกำเนิด ผมอยู่ในเศษซากของดวงดาวที่เกาะเกี่ยวเป็นโลกของคุณ ผมเคยประกอบเป็นภูเขา แม่น้ำ น้ำดื่ม ผมเคยไหลเวียนในตัว เจ็งกิส ข่าน เคยผ่านร่างนักบุญ ฆาตกร จนในที่สุดเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน ผมก็มาอยู่ในนิ้วชี้ของคุณ”
2
เราคงไม่มีเวลาถามอะตอมทุกตัว เพราะแค่ในนิ้วชี้ของเรา ก็มีอะตอมมากมายเกินกว่าจะถามได้ครบ แต่เรารู้จากวิทยาศาสตร์ว่า อะตอมทุกตัวที่ประกอบเป็นนิ้วชี้ของเราตอนนี้ เดินทางไกลมาจากที่ต่าง ๆ ในจักรวาล
ทุกอะตอมของเรามีประวัติโชกโชนมาก่อน อะตอมเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิด พวกมันเกิดมานานแล้วตั้งแต่เริ่มต้นจักรวาล
1
ไม่ได้พูดเล่น เรามีอายุเท่าจักรวาลหรือราว 13.8 พันล้านปี
3
อะตอมของเราเคยเป็นดวงดาว อะตอมของเราเคยลอยล่องกลางความว่างของดาราจักร อะตอมของเราเคยเป็นอากาศที่พระพุทธเจ้าหายใจ อะตอมของเราเคยเป็นต้นไม้ ก้อนหิน สายน้ำ สัตว์ พยาธิ เชื้อโรค อะตอมของเราเคยเป็นก้อนเมฆที่ลอยล่องไปทั่วโลก เป็นสายฝนที่โปรยเหนือป่าดงดิบ เป็นหิมะบนยอดเขา เป็นดินกลางท้องทุ่ง เป็นเกสรดอกไม้
3
มองในแง่นี้ จะเห็นว่าคอนเส็ปต์ของอสุภกรรมฐานและอะตอมกรรมฐานก็คือเรื่องเดียวกัน กายเราเกิดจากการวมตัวกันของสิ่งเล็ก แล้วแยกตัวเมื่อเรา ‘ตาย’
แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องความตายของเรายังไง?
เนื่องจากอะตอมเหล่านี้ไม่ได้ดับสูญ แค่ย้ายจากรูปกายของเราไปประกอบเป็นของใหม่ สิ่งใหม่ หรือชีวิตใหม่ จักรวาลจึงไม่เคยมีการเกิดการตาย มีแต่การเปลี่ยนรูป
1
มันก็คือชาติภพ แต่เป็นชาติภพในมุมวิทยาศาสตร์ ซึ่งในความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นกว่า
ตัวตนของเราในชีวิตนี้หรือชาตินี้เป็นเพียงท่อนหนึ่งของเปลือกที่เหล่าอะตอมกลุ่มหนึ่งมาเกาะรวมกัน
เราคือดวงดาว เราคือจักรวาล เราคือชีวิตรวม และชีวิตรวมก็คือเรา
1
มองแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นเพียงโซ่ท่อนหนึ่งของมหาโซ่แห่งจักรวาล มาเดี๋ยวเดียว แล้วสลายตัวไป
1
ดังนั้นใน ‘วันตาย’ ของเรา อะตอม ก. ข. ค. ง. ฯลฯ ก็แยกทางกันอีกครั้ง อะตอม ก. อาจไปรวมกับอะตอม ข. ค. หรือ ฮ. กลายเป็นเปลือกใหม่ รูปใหม่
2
หลังจากเราหมดลมหายใจ อะตอมก็แยกทาง ร่างกายเราก็แยกออก แต่เรายังไม่ตาย เราเพียงเปลี่ยนรูป หรือจะเรียกว่าชาติภพก็ตามสบาย
1
อะตอมที่แยกจากร่างกายเราเหล่านี้จะกระจายไปตามที่ต่าง ๆ อาจไปรับบทบาทใหม่ ร่างใหม่ สิ่งของใหม่ ช้าหรือเร็วก็กระจายไปทั่วโลก จนเวลาผ่านไปสักห้าพันล้านปี โลกเราสลาย อะตอมก็แยกตัวอีก ลอยล่องในจักรวาล
2
วันหนึ่งในอนาคตไกลออกไป อะตอมแต่ละตัวอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่าง ๆ ชีวิตต่าง ๆ ไปจนถึงดวงดาวดวงใหม่ที่เกิดใหม่
คนที่บอกว่า “ชีวิตผมจืดชืด ไม่มีสีสัน” หรือ “ฉันอายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย” ล้วนเข้าใจผิด
3
มองในมุมของจักรวาล เราแต่ละคนมีประสบการณ์โชกโชนมาก่อน เราเคยท่องจักรวาลมาแล้ว
มองแบบนี้ก็จะเห็นว่าความตายไม่น่ากลัว เพราะมันไม่เคยมีความตาย มีแต่การโยกย้ายตำแหน่งของเหล่าอะตอม
1
สลายร่างแต่ไม่สลายสิ้น
1
(ท่อนหนึ่งจาก หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ / วินทร์ เลียววาริณ
หมายเหตุ ตอนนี้มีโปรโมชั่นสามเล่มราคาพิเศษ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) มีจำหน่ายที่เว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ")
หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6 )
โฆษณา