9 พ.ค. เวลา 07:44 • ปรัชญา
ถนน สีลม

การนับถือเทพเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจให้ละกิเลสสามารถทำได้ทั้งชายหญิงและเพศที่ ๓ แต่-ห้ามขอโชคลาภ!(EP2)

(หมายเหตุ ท่านใดที่ไม่เชื่อว่าเทพมีจริงก็ขอให้ข้ามบทความนี้ไปนะครับ)
ในตอนที่ ๒ ผู้เขียนจะมาเล่าถึงประวัติของเทพเจ้าสัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธอีกสองพระองค์ที่เป็นเทพธรรมบาลผู้คอยอุปัฏฐากอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โดยพระองค์แรก เป็นเทพีที่เราชาวไทยรู้จักกันดี ผู้มีบทบาทในศาสนาพุทธทุกนิกาย(รวมทั้งศาสนาฮินดูด้วย)นั่นก็คือพระแม่ธรณีนั่นเอง
พระแม่ธรณี(ไทย)ทรงมีพระนามอันหลากหลายตามคติของแต่ละชาติ ไม่ว่าจะเป็น วสุนธรา,วสุธารา(อินเดีย) พสุธา(บาลี) ปถวิ(บาลีมคธ) ปฐพา ปฐพี ภุมเทวี ภูมินี ปฤธวี(ฤคเวท) จิเท็นบ๊ตซัตสึ(ญี่ปุ่น) โฮ่วถูเสิน(จีนกลาง) จีเจโบซัล(เกาหลี) ไกอา(กรีซ), ในยุโรปโดยทั่วไปจะเรียกว่า พระนางเทอร์รา, พระแม่เซเรส, เจ้าแม่ออฟ (Ops) , พระแม่พรอสเซอร์พินา (Proserpina) และตี่บ้อ(จีนแต้จิ๋ว)
พระแม่ธรณีเป็นพลังสัญลักษณ์แห่งความโอบอุ้มคุ้มครองปกปักรักษาทุกชีวิตบนโลก ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการกำจัดคนชั่วให้ถูกสูบสิ้นลงไปใต้ธรณิน เป็นสัญลักษณ์แห่งการโอบกอด-ปลอบโยน-ซับน้ำตา ดูดซับสิ่งไม่ดีและสิ่งปฏิกูลเอาไว้ก่อนจะแปรเปลี่ยนให้เป็นแร่ธาตุอันอุดมคุณประโยชน์ และที่สำคัญ แม่ธรณีเป็นตัวแทนของการให้ และการเสียสละรองรับความทุกข์ทั้งปวงไว้ เป็นตัวแทนของจิตเดิมแท้แห่งมารดานั่นเอง
พระแม่ธรณีเองก็ถือเป็นตำแหน่ง เช่นเดียวกันกับตำแหน่งของเทพเจ้าจตุโลกบาล แม่ธรณีถือเป็นเทพีภาคพื้นโลก เช่นเดียวกับเทพเจ้าอีก ๓ พระองค์ที่คอยดูแลภาคพื้นผิวโลก อันได้แก่ เทพีคงคา เทพีโพสพ และพระมหาสมุทร
เท่ากับว่าหากมีผู้มีบุญสูงพอที่จะได้รับตำแหน่งหน้าที่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาได้ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ แล้วประจวบเหมาะกับเทพเจ้าองค์ก่อนถึงกาลจุติพอดี เทพองค์ใหม่ผู้มีบารมีทัดเทียมเทพองค์ก่อนก็จะเข้ารับตำแหน่งแทนในทันที
ในคัมภีร์ฤคเวทของอนุทวีปไม่มีกล่าวถึงที่มาที่ไปของพระแม่ธรณี มีแต่เพียงคำจารึกว่าพระนางทรงเป็นเทพีแห่งแผ่นดิน มีนามแรกเดิมว่าองค์ปฤธวี ในคัมภีร์พระไตรปิฎกก็ไม่มีการกล่าวอ้างถึงการมีตัวตนอยู่ของพระแม่ธรณี แต่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 17-18(สมัยทวารวดี) พุทธมามกะและพุทธอริยสาวกได้จาระพุทธประวัติเพื่อพรรณนาถึงเหตุการณ์หนึ่งในสมัยพุทธกาลขึ้นมาสรรเสริญชัยชนะของพระพุทธองค์ต่อพญามารวิสวัตตี จนทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เรียกเหตุการณ์นี้ว่า พระแม่ธรณีบีบมวยผม(บีบเอาน้ำที่มาจากกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลในทุกภพทุกชาติของพระพุทธเจ้าออกมาพัดพาปีศาจมารร้ายออกไปจนหมด) โดยเป็นเหตุการณ์ในพุทธประวัติที่รับรู้กันแพร่หลายเฉพาะชาวนิกายเถรวาทในแถบพม่า ลาว ไทยและกัมพูชาเท่านั้น ส่วนชาวพุทธในรัสเซียตะวันออก,ทิเบต,มองโกเลีย,จีน,เกาหลี,เวียดนาม,ไต้หวัน,ฮ่องกง,สิงคโปร์และญี่ปุ่นจะรับรู้เฉพาะเหตุการณ์อื่นขององค์พระแม่ธรณีแทน
อ้างอิงจากหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่มีการระบุถึงพระแม่ธรณีในตอนมารวิชัยคือลลิตวิสตระ(Lalitavisutra)ในนิกายมหายาน แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 8 โดยระบุว่าพระแม่ธรณีได้เสด็จมาแสดงความยินดีร่วมกับเทวดาองค์อื่น ๆ หลังพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
แอนโทเนีย โพซิว ในบทบาทพระแม่ธรณีบีบมวยผม(ภาคมารวิชัย)
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะในคติของชนชาติใด ศาสนาไหน พระแม่ธรณีก็มีบทบาทคล้ายคลึงกันอยู่ดี เช่น เป็นเทพีแห่งอัญมณีและความอุดมสมบูรณ์พูนผล เป็นเทพีแห่งการเกษตร เป็นเทพีแห่งมารดา เป็นเทพีแห่งความปลอบประโลมเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ คล้ายคลึงกับองค์อวโลกิเตศวร-กวนอิม-โพธิสัตว์ตามคติพุทธมหายาน เรียกได้ว่าเป็นIconicของการให้ และการเสียสละอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
พระแม่ธรณีองค์ปัจจุบันมีชื่อเรียกในศาสนาพุทธ(ทุกนิกาย)ว่า "วสุธารา" หรือ "วสุนธรา" เป็นภาษาสันสกฤตแปลได้ว่า "สายธารแห่งอัญมณี" อันผู้มีญาณหลายต่อหลายคนต่างให้ความเห็นตรงกันมาแต่โบราณ ว่า องค์วสุนธราเคยเกิดเป็นพุทธศาสนิกชนในจักรวาลเก่ามาก่อน เมื่อได้มาอุบัติเป็นเทพเจ้าของจาตุมหาราชภูมิในจักรวาลปัจจุบัน พระองค์ก็ได้ทรงดำรงตำแหน่งเป็นมหาเทพีผู้โอบอุ้มคุ้มชูหมู่สัตว์โลกเอาไว้ โดยที่สถิตย์ของพระนางวสุนธราคือผืนแผ่นดินทั่วทั้งโลกของเรานั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คุณก็สามารถนับถือพระแม่ธรณีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้จมดิ่งไปกับทุกข์ได้่ ขอเพียงแต่มีหัวใจที่เชื่อมั่นในศีลวัตรภูมิธรรมของพระแม่ธรณี เพราะสนามพลังงานของพระแม่ธรณีเป็นพลังงานแห่งการปลอบขวัญ-รับฟังและเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ขอให้เข้าใจด้วยว่าพระแม่ธรณีไม่ใช่สิ่งที่สามารถประทานพรและให้โชคลาภแก่ปุถุชนได้ เพราะแม้แต่ตัวพระแม่ธรณีเองก็ยังไม่สามารถห้ามมิให้เกิดธรณีพิบัติภัยบนผืนโลกที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะธรรมอย่างไรก็คือธรรม ธรรมดา-ธรรมชาติมันเป็นของมันเช่นนั้น เมื่อมีวัฏจักรและมีเหตุปัจจัย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขึ้นไปเช่นนั้นของมันอยู่แล้ว ตัวอย่างง่ายๆก็เช่น เมื่อกลุ่มมหาอำนาจโลกมีการรุกรานใช้งานทรัพยากรโลกอย่างสิ้นเปลือง ทำให้สนามแม่เหล็กโลกรวน ก็ย่อมเกินกำลังที่เทพเจ้าองค์น้อย(เทียบกับจักรวาล)อย่างพระแม่ธรณีจะยื้อเอาไว้ได้ ดังนั้น แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก ธรณีพิบัติต่างๆย่อมไม่มีทางที่จะหายไปจากโลกใบนี้ได้
ด้วยเหตุปัจจัยคือการทำลายล้างโลกด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยโลภะของเหล่าปุถุชนในปัจจุบัน จนทรัพยากรโลกใกล้สู่ความ "บ๋อแบ๋" เต็มที เชื่อได้เลยครับว่าอีกหน่อยธรณีพิบัติภัยก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า และไม่แน่ว่าถ้าเหล่าปุถุชนอย่างพวกเรารวมทั้งเหล่ามหาอำนาจโลกยังไม่หยุดทำร้ายผืนปฐพีโลก แก่งแย่ง-ชิงล้ำชิงเหนือไม่จบไม่สิ้น ก็คงไม่พ้นหายนะและความตายที่จะกลายมาเป็นรางวัลตอบแทนความปล่อยปละละเลยของพวกเรา
ก่อนที่จิตใจเราจะดำดิ่งไปถึงขั้นสร้างหายนะต่อโลกได้ขนาดนั้น การมีสติเดี๋ยวนี้ตอนนี้-เป็นสิ่งที่พึงกระทำเป็นที่สุด วิธีการสร้างสมสติแบบพระแม่ธรณีที่รับมาจากพระพุทธเจ้าเป็นวิธีที่จะสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้แก่เราๆเหล่าปุถุชนได้อย่างง่าย นั่นก็คือ วิธีการคิดเพื่อชีวิตไม่ดิ่งลงเหว ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้
1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ การพิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผลให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือพิจารณาปัญหา หาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา
2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ เป็นวิธีคิดแบบจำแนกแยกแยะองค์รวมของสรรพสิ่งออกเป็นองค์ประกอบย่อยๆ หรือคิดวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่ขององค์ประกอบย่อยๆ นั้น
3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองอย่างรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันเอง
4. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา (แบบอริยสัจ) มีลักษณะทั่วไป ๒ ประการ คือ
4.1 เป็นวิธีคิดตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขและทำ การที่ต้นเหตุ
4.2 เป็นวิธีคิดที่ตรงจุด ตรงเรื่อง ตรงไปตรงมาไม่ฟุ้งซ่านออกไปเรื่องอื่นและต้องเป็นการแก้ไขที่ปฏิบัติได้จริง
พระแม่ธรณีศรีวสุธาราปางประทานพร(คติอินเดียเหนือ)
5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย เมื่อรู้ว่าหลักการเป็นอย่างไร ความมุ่งหมายเป็นอย่างไร ก็ทำให้ถูกต้องตามหลักการและจุดมุ่งหมายนั้น
6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก เป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม เป็นวิธีคิดที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับความต้องการ และการประเมินค่าของบุคคล
8. วิธีคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม เป็นวิธีคิดที่รู้จักนำเอาประสบการณ์ที่ผ่านพบมาคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดีงาม เป็นประโยชน์เป็นกุศล ทำให้มีทัศนคติที่ดีต่อบุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม มีจิตใจที่สะอาดผ่องแผ้ว แล้วแสดงออกเป็นพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์ต่อไป
9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน คิดตามแบบ "มหาสติปัฏฐานสูตร" เพ่งพิจารณามีสติระลึกอยู่กับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ เกิดขึ้นหรือรู้การกระทำทุกขณะจิต เป็นแนวคิดแห่งปัญญาไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอยู่ขณะนี้ ล่วงไปแล้ว หรือเป็นเรื่องของการภายหน้า หากเป็นการคิดด้วยปัญญาถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา ก็นับเป็นความคิดในปัจจุบันทั้งสิ้น
10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท วิภัชชวาท มาจาก วิภัชช + วาท วิภัชช แปลว่า แยกแยะ แบ่งออก จำแนก หรือ แจกแจง ใกล้เคียงกับคำว่า วิเคราะห์ วาท แปลว่า การกล่าว การพูด การแสดงคำสอน วิภัชชวาท แปลว่า การพูดแยกแยะ พูดจำแนก หรือ พูดแจกแจง หรือ แสดงคำสอนแบบวิเคราะห์
เปรียบวิธีคิดแต่ละวิธีเป็นสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน(ธรณี)อันแตกต่างกันด้วยลักษณะองค์ประกอบ แต่สุดท้ายก็เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินไม่ต่างกัน เสมือนการขุดชำแรกลงไปดูในใต้ดิน แล้วร่อนแร่ร่อนธาตุ แยกแร่ธาตุและอัญมณีดิบออกจากกัน แล้วมาดูว่าแร่นี้สีอะไร มณีนี้สีอะไร คุณลักษณะและผิวสัมผัสเป็นเช่นไร
เทพีไกอา หรือ พระนางจีเจโพธิสัตว์ แม่ธรณีตามคติของชนชาติกรีกโบราณ ในศาสนากรีก
เมื่อรู้ถึงแร่นั้น ว่าเป็นเงิน ทอง ดีบุก ทองแดง ปรอท ฯลฯ หรือรู้แน่แล้วว่าอัญมณีนั้นๆเป็นพลอย เป็นเพชร เป็นนิล เป็นจินดา ฯลฯ ก็ดูว่าแร่นั้น มณีนั้น ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง มีเหตุใดๆที่จะตีค่ามันได้ไหม หรือเมื่อทำประโยชน์แล้วผลที่ได้จะเป็นอย่างไร
เมื่อรู้แล้วก็ทำตามความมุ่งหมายอันก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น นำแร่เหล่านั้นไปขาย นำมณีเหล่านั้นไปจำหน่าย เพื่อแลกเป็นเงินตรามาเลี้ยงชีพชอบ แต่มิใช่ว่าจะเอามณีเอาแร่ไปเคี้ยวกินตรงๆเพื่อเลี้ยงชีพตนเลยโต้งๆอุปมาก็ดั่งผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีสติรู้เหตุเห็นผลของสิ่งที่เกิดขึ้น จึงไม่สามารถจัดการตัวเองให้อยู่สุขอยู่สมตามปรกตินัยได้
เมื่อรู้แล้วว่ามณีและแร่เหล่านั้นยังประโยชน์เช่นใดกับชีวิตตนได้ ก็ให้มองพวกมันตามความเป็นจริงว่าแม้จะได้ทรัพย์มาจากการจำหน่ายมณีและแร่ แต่เมื่อใช้เงินที่ได้มา เงินก็ย่อมพร่องหรือหมดสูญไป ส่วนคนที่ได้แร่ได้พลอยไป ก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดจากแร่จากพลอยเหล่านั้น แม้แต่ธรรมทานก็ไม่มีได้ เพราะแร่และมณีเหล่านั้นใช้ได้เพียงจับต้องประดับประดา-สวยไปวันๆ แต่ให้คุณที่เป็นอริยประโยชน์ใดๆไม่ได้ทั้งสิ้น
การมองแบบนี้คือเป็นการมองโลกตามความเป็นจริง แม้รู้ว่าแร่และมณีจะมีมูลค่าขายได้ แต่ถ้าหากผู้คนรู้ความจริงกันหมดแล้ว มณีและแร่เหล่านั้นก็จะหมดคุณค่า จะไม่มีใครปรารถนาจะซื้อมันอีกเลย เพราะเข้าใจความเป็นจริงแล้วว่า แร่มณีเหล่านั้นเป็นเพียงก้อนหินมีสีมีสัน แต่ไม่มีคุณค่าที่แท้จริง เพียงแต่ปุถุชนเอาพวกมันไปเจียระไนตีตรากันเองว่าแร่มณีเหล่านั้นช่างสูงเลิศเลอค่า เป็นต้น
ตรงนี้เองปุถุชนที่อ่านมาถึงตรงนี้ย่อมรู้แล้วว่า องค์พระแม่ธรณีปรารถนาในพุทธภูมิและปรารถนาในมรรคผลนิพพาน และทรงเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันเกือบๆสกิทาคามีอย่างแน่นอน พระองค์ปรารถนาให้ปุถุชนรู้ความจริงของโลกว่าสิ่งใดเป็นคุณค่าแท้ สิ่งใดเป็นคุณค่าเทียม ปรารถนาให้สรรพสัตว์เปี่ยมเลิศสว่างด้วยธรรมะปัญญา มิต่างอะไรกับเจตจำนงแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อเรารู้เท่าทันความจริงของโลกและจักรวาลเช่นนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะหันกลับมาปลุกคุณธรรมในตัวให้ตื่นขึ้น งดการทำผิดทำนองคลองธรรม ลดละเลิกระงับการเบียดเบียนโลก หมั่นดูแลรักษาหัวใจเพื่อนมนุษย์ และหมั่นดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด
รูปปั้นพระแม่ธรณีบีบมวยผมเพื่อผลิตมหาอุทกภัยขับไล่ฝูงมารให้สิ้นไปจากการรังควานองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(คติสยาม)
ทันทีที่คุณธรรมถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในดวงหทัยแห่งผองชน ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเรื่อยๆแม้ทีละเล็กทีละน้อยก็ยังถือว่าดี พฤติกรรมของผองชนก็จะแปรเปลี่ยน ความเมตตาอารีต่อมนุษยโลกก็ผลิบานได้ ผองชนจะได้กลับมาสู่ความเป็นจริง อยู่กับลมหายใจและปัจจุบันขณะ ไม่ฟุ้งซ่านไปจากที่ที่ดำรงอยู่ ไม่ส่งจิตออกนอกไปวาดวิมานสวรรค์ ไม่วาดฝันสร้างโลภะไม่จบไม่สิ้นกันอีกต่อไป
สุดท้ายการตกผลึกผลวิเคราะห์ที่ถูกที่ควรก็จะบังเกิด มีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นธรรมชาติ-ธรรมดา ไม่บ้าคลั่งไปกับกิเลสวัตถุ ๑๐ ไม่บ้าคลั่งลุ่มหลงไปกับกระแสแห่งโลกียชนที่รายล้อมรอบด้าน สามารถดำรงอยู่ในโลกมนุษย์อันบิดเบี้ยวและสวยงามปะปนกันใบนี้ได้อย่างภูมิใจว่าตนคือมนุษย์ หรือที่แปลว่า ผู้มีใจประเสริฐ นั่นเอง
พระแม่ธรณีเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆของการขบคิดให้ชีวิตไม่ตกเหว พระองค์สามารถรองรับทุกสรรพชีวิตไว้บนตัวท่านได้ ในอ้อมอกของท่านยังคงเต็มไปด้วยความสงบสุขเสมอมา แม้จะมีแม๊กม่าร้อนหลอมเหลวอยู่ภายใต้พระธรณี แต่พระแม่ธรณีก็ดูดซับกักมันไว้ ต้านกระแสวิบากกรรมมวลรวมของมวลมนุษย์ เป็นพลังงานของอิสตรีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่หวั่นไหวแม้ใครจะครหา เป็นผืนแผ่นดิน(เพศแม่)ผู้ไม่ยี่หระแม้มีกองขยะพะเนินท่วม หรือต่อให้สรรพสัตว์จะขับถ่ายขากถุยลงบนผืนดิน แต่พระแม่ธรณินก็หาโกรธเป็นไม่ มีแต่จะยินดีรับปฏิกูลเหล่านั้นไว้ด้วยความเต็มใจ
แถมยังแปรเปลี่ยนธาตุปฏิกูลเหล่านั้น(ที่มาจากการขับถ่ายทุกอย่างตามธรรมชาติ)ให้กลายเป็นโภชนะธาตุ กลายเป็นแร่ธาตุมีคุณ ช่วยให้พืชพรรณเจริญงอกงามเขียวชอุ่มชุ่มขจีกันไปเลย
พระแม่ธรณีวสุนธรา ศิลปะทิเบตผสมญี่ปุ่น
เป็นพลังงานที่ตรงกับการเปลี่ยนคำครหาและความท้อแท้เหนื่อยใจ ให้กลายเป็นคำสรรเสริญและความโล่งใจ เป็นพลังงานที่เหมาะกับทุกเพศ-ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศที่ ๓ ในกลุ่มLesbianและTom&Dy ที่มักจะประสบกับปัญหา "ความหลง"
ไม่ว่าจะเป็นหลงยึดติดในตัวคนรัก หลงว่าคนรักเป็นสมบัติของตน หลงผิดเป็นชอบ(บางกรณี) ซ้ำยังไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่พี่น้อง (บางกรณี) คู่รักหญิงรักหญิงหลายคู่ที่วางใจไม่กลาง(ยังมิอาจจะทิ้งโศกเศร้าเหงาเครียดและรักโลภโกรธหลงลงได้) และยังมืดบอดในหลักธรรมและไม่เคยสดับธรรมเทศนา ไม่เคยเจริญสติหรือสะสมสุตะมาก่อน ย่อมยากที่จะเจริญจิตเจริญอารมณ์ให้ไม่หลงได้
เพศหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หญิงรักหญิง(บางคน)จะมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษในหลายเรื่อง เช่น เรื่องคนรัก เรื่องครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง ด้วยความที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มเพศที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักกลาง(ชายรักชาย)และหลักใหญ่(ชายหญิงที่รักกันทั่วไป) หลายครั้งกลุ่มหญิงรักหญิงก็ถูกผองชนที่แล้งน้ำใจไร้ศีลธรรมปัดตกออกนอกสายตาไปเสียอย่างนั้น พลังงานแห่งอิสตรีผู้โอบอุ้มคนอ่อนไหวจึงจำต้องเข้าช่วย...
ดังนั้น หากท่านใดก็ตามที่รู้ตัวว่าเป็นหญิงรักหญิงที่ยังเข้าไม่ถึงสัจธรรม หรือมีความทุกข์ด้านความรักและการดำรงอยู่ของตัวเอง อ่อนไหวบอบบางและปรารถนาจะหนีพ้นความทุกข์นั้น การนับถือพระแม่ธรณีไว้เป็นIconic Idolด้านการใช้ปัญญาตรึกตรองเพื่อละวางกองทุกข์นั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี นับถือในที่นี้คือยึดเอาหลักธรรมประจำใจพระแม่ธรณีไปยึดปฏิบัติด้วย เมื่อองค์พระแม่ธรณีร่วมอนุโมทนาปราโมทย์บุญกับเรา ชีวิตที่เคยเป็นทุกข์ของเราก็จะเบาสบายขึ้น
ในคติอียิปต์เก่าแก่ เทพเก๊บคือพระแม่ธรณีที่ปรากฏรูปเป็นเทพบุตร เก๊บถือเป็นเทพเจ้าแห่งผืนปฐพีผู้สร้างแผ่นดินโลก คำว่าเก๊บ พ้องกับคำว่าเกีย,เจีย,ไกอาหรือจีอา(ชื่อพระแม่ธรณีของศาสนากรีก)และยังออกเสียงคล้ายกับคำว่าจี่บ้อ,ตี่บ้อ(จีนตอนใต้)หรือจี่เจ้(เกาหลี)และจิโบะ(ญี่ปุ่น)ที่หมายถึงพระแม่ธรณีโพธิสัตว์อีกด้วย
องค์พระแม่ธรณีในคติเอเชียสุวรรณภูมิและอินโดจีนนั้นจะมีลักษณะเป็นเทพีผมยาวถึงพื้นดิน โดยรวบผมเป็นหางม้าสูง ประดับประดาอัญมณีทั่วทั้งพระวรกาย แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามสีน้ำตาลทองแดงอันเป็นสีของธาตุดิน ที่สำคัญมีดวงตาสีเพชร โดยเชื่อกันว่า(เป็นแค่ความเชื่อ)เส้นผมที่ยาวถึงพื้นนั้นจะซับเอาน้ำทักษิโณทกที่เหล่าพุทธศาสนิกชนกรวดอุทิศให้สรรพสัตว์สรรพวิญญาณ
ส่วนอาภรณ์สีน้ำตาลทองแดงแสดงถึงสีของแผ่นดิน มีอัญมณี ๑๐ ประการประดับชุด ได้แก่ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดาหาร เพทาย ไพฑูรย์และไพลินนั่นเอง ซึ่งมณีแต่ละชนิดก็คือตัวแทนของหลักปัญญาธรรม "โยนิโสมนสิการ ๑๐ ประการ" นั่นเอง
สรุป การนับถือพระแม่ธรณีเพื่อเป็นแบบอย่างให้มีความเมตตาอารีและความสละละวาง รวมทั้งรับเอาหลักพุทธธรรมที่เรียกว่า "โยนิโสมนสิการ ๑๐" เพื่อการคิดให้ชีวิตไม่ตกเหวมาจากพระแม่ธรณี แล้วยึดถือปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับหญิงรักหญิงเป็นพิเศษเพราะมีพลังกล่อมเกลาจิตใจ ลดความอ่อนไหว,ความหลงและความยึดติดในสิ่งที่คิดเอาเองว่าเป็นของเราได้ แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเพศไหน วัยไหน ถ้านับถือพระแม่ธรณีด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ไหว้วอนขอโชคขอลาภ ก็ย่อมไม่ผิดไปจากธรรม ไม่ว่าเพศใดก็นับถือได้
ในตอนต่อไปแอดรัตนะนาโคแห่งเฟซบุ๊คเพจ{ธรรมะแฟนตาซี}จะขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับเทพธรรมบาลหรือสัมมาเทพเจ้าในศาสนาพุทธองค์สุดท้ายที่เหมาะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของปุถุชนชายรักชายผู้มืดบอดในธรรมและยังมิอาจละวางราคกิเลสลงได้ ผู้ทรงมีความใกล้ชิดกับมนุษย์โลกย์มากพอๆกับท้าวเวสสุวรรณและพระแม่ธรณี แถมยังเป็นสัมมาเทพเจ้าที่สามารถถ่ายทอดหลักธรรมเพื่อเปลี่ยนเพศรสอันสนุกเร่าร้อนให้กลายเป็นความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้คนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โฆษณา