9 พ.ค. เวลา 10:05 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

Anti-ageing neuro-tech: The bold new devices built to keep your brain young

เทคโนโลยีระบบประสาทต่อต้านวัย อุปกรณ์ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้สมองของคุณไม่แก่ชรา
การส่งแรงกระแทกไปยังระบบประสาทมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่มันเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่จะทำหรือไม่
มีหลายวิธีในการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น เดินเล่นทุกวัน ทานอาหารที่ดีขึ้น และแม้แต่อะไรง่ายๆ อย่างเล่นปริศนาซูโดกุทุกวัน เพื่อให้สมองของคุณตื่นตัว แต่สำหรับสิ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย เช่นการส่งไฟฟ้าช็อตไปที่สมองของคุณ
การปรับระบบประสาท เป็นวิธีปฏิบัติที่ค่อนข้างแปลกในการวางเครื่องกระตุ้นบนศีรษะและส่งไฟฟ้าช็อตไปยังระบบประสาทโดยตรง ไม่ต้องเจาะฝังเข้าในร่างกาย และยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย นี่อาจเป็นเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุด ที่จะยกระดับชีวิตของคุณได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าแนวคิดเรื่องการปรับระบบประสาทจะมีมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่ชื่อ พาราซิม Parasym หรือ แกมมาคอร์ GammaCore ที่เป็นผู้ริเริ่มพาราซิม ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 และได้รับการกล่าวอ้างมากมาย โดยระบุว่า อุปกรณ์ชนิดนี้ สามารถปรับปรุงพลังจิตของคุณได้อย่างมาก โดยไม่ต้องออกไปจากบ้านหรือลุกจากโซฟา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฟังดูดีเกินไปที่จะเป็นจริงได้ แต่ขณะนี้เทคโนโลยีนี้ ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ยูซีเอล, ฮาเวิร์ด และ มหาวิทยาลัยคอลเล็จลอนดอน และไบรอัน จอห์นสันมหาเศรษฐีวัย 40 ปี ก็ใช้เครื่องนี้ โดยพยายามจะกลับไปที่อายุ 17 ปีอีกครั้ง
แต่อุปกรณ์นี้มันทำงานอย่างไร ปลอดภัยไหม และใครๆ ก็ใช้ได้
เครื่องปรับระบบประสาท คืออะไร และทำงานอย่างไร
พูดง่ายๆ ก็คือ เครื่องปรับระบบประสาท เป็นเทคโนโลยีประเภทหนึ่ง ที่ปรับเปลี่ยนการทำงานของเส้นประสาทโดยการส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย ให้คิดว่ามันเหมือนกับสวิตช์หรี่ไฟ ซึ่งเพิ่มหรือลดการทำงานของเส้นประสาทเฉพาะหรือที่บริเวณสมอง
เครื่องนี้สามารถใช้เพื่อกระตุ้นเส้นประสาท ซึ่งเป็นการเพิ่มกิจกรรมของเส้นประสาท หรือจะใช้เพื่อยับยั้งกิจกรรมเส้นประสาท เช่น ลดสัญญาณความเจ็บปวด เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน เครื่องปรับระบบประสาท สามารถเปลี่ยนรูปแบบของระบบประสาทไปพร้อมกัน โดยการแก้ไขหรือไปทำลายการส่งสัญญาณเส้นประสาทที่ผิดปกติที่พบในโรคต่างๆ เช่น ในโรคลมบ้าหมู ในโรคปวดหลังเรื้อรัง หรือในโรคพาร์กินสัน
มีหลายวิธีที่จะให้ "สวิตช์หรี่ไฟ" นี้ทำงาน แต่สำหรับพาราซิม และบริษัทที่คล้ายๆ กัน ในการปรับระบบประสาทสามารถทำได้โดยใช้วิธี 'การปรับระบบประสาทในช่องหู' นั่นคือใช้วิธีโดยการส่งสัญญาณไฟฟ้าผ่านผิวหนังหูของคุณ
โดยการส่งพัลส์หรือคลื่นสัญญาณเหล่านี้ผ่านหู เทคโนโลยีนี้ จะกำหนดเป้าหมายคลื่นสัญญาณไฟฟ้าไปที่เส้นประสาทเวกัสของคุณ เส้นประสาทเวกัสนี้ มีหน้าที่นำสัญญาณระหว่าง สมอง หัวใจ และระบบย่อยอาหารของคุณ
ดันโดวิค Nathan Dundovic ผู้ร่วมก่อตั้ง พาราซิม บอกกับวารสาร บีบีซี ไซเอนซ์ โฟกัส BBC Science Focus ว่า “อุปกรณ์จะเหน็บอยู่ที่หูซ้าย โดยมีจะอิเล็กโทรดที่กำหนดเป้าหมายหรือส่งสัญญาณไฟฟ้าโดยตรงไปยังเส้นประสาทสาขาของเส้นประสาทเวกัสที่เกี่ยวกับหู ซึ่งเป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกขนาดเล็กที่อยู่หลังใบหู สิ่งนี้ส่งสัญญาณไฟฟ้าโดยตรงไปยังก้านสมอง”
“หูฟังจะเชื่อมต่อกับคอนโทรลเลอร์หรือส่วนควบคุมมือถือหรือรีโมท ซึ่งจะมีหน้าที่เป็นส่วนควบคุมสัญญาณ ผู้ใช้สามารถกำหนดระยะเวลาสำหรับเซสชัน เราแนะนำให้ทำวันละหนึ่งหรือสองครั้ง ครั้งละหนึ่งชั่วโมง”
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ทำงานในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อุปกรณ์มือถือหรืออุปกรณ์สวมใส่ที่ส่งแรงกระแทกไปยังร่างกายแบบกำหนดเป้าหมาย แม้ว่า หน่วยงาน NHS หรือระบบดูแลรักษาสุขภาพแห่งชาติของประเทศสหราชอาณาจักร จะกำหนดเงื่อนไขของอุปกรณ์เหล่านี้ได้เป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่คุณต้องซื้ออุปกรณ์ของคุณเอง โดยมีราคาเริ่มต้นที่สูงคือประมาณ 600 ปอนด์
เทคโนโลยีนี้สามารถชะลอความแก่ได้อย่างไร
การแก่ชราเป็นสิ่งที่ซับซ้อนในการที่จะติดตามดู และการชะลอความเร็วในการแก่นั้นยากยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม การแก่ชราส่วนใหญ่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ของโรคต่างๆ ปัญหาสุขภาพ และการชะลอกระบวนการฟื้นตัว
และนี่คือที่มาของการปรับระบบประสาท การกระตุ้นระบบประสาทดังกล่าว สามารถชะลอการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีส่วนโดยตรงต่อกระบวนการชรา
โรคที่เกี่ยวกับความรู้ ความคิด และความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่มักจะเกิดพร้อมกับอายุที่มากขึ้น เช่น อัลไซเมอร์ ถือเป็นข้อกังวลหลักในกลุ่มประชากรสูงวัย น่าจะเหมาะที่จะรักษาเส้นประสาท ด้วยการปรับระบบประสาท แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก เพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ในทำนองเดียวกัน ผลจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การปรับระบบประสาท ทำให้มีการปรับปรุงการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ดีขึ้น ซึ่งปรับปรุงการทำงานเช่นนี้ สามารถช่วยต่อสู้กับภาวะหัวใจล้มเหลว และความดันโลหิตสูงได้
นอกเหนือจากการสูงวัยแล้ว เทคโนโลยีนี้ ยังได้ปรับปรุงความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ ช่วยให้ความเหนื่อยล้าดีขึ้น ลดภาวะสมองล้า และลดภาวะซึมเศร้า แม้แต่โรคที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เช่น กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วขณะทรงตัว คนที่เป็นโรคนี้ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อยืนขึ้น เมื่อใช้เครื่องนี้พบว่าคนที่เป็นโรคนี้ ก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ดันโดวิค อ้างว่า จากการวิจัยทางคลินิก พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่า พาราซิม สามารถปรับปรุงอย่างมากของตัวชี้วัดทางชีวภาพที่สำคัญสามประการ ที่มีบทบาทในการทำให้เราเกิดความชราได้ โดยมีผลที่ชัดเจน แต่เราก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างมาก
ทอมสัน Simon Thomson ผู้ก่อตั้ง สมาคมปรับวงจรประสาท แห่งประเทศสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในสาขานี้ กล่าวกับ บีบีซี ไซเอนซ์ โฟกัส ว่า “ที่นี่เราอยู่ในโลกแห่งการวัดผลที่ขึ้นอยู่กับบุคคล เรากำลังปรับวงจรสมอง และวงจรเหล่านั้นสามารถปรับได้ด้วยปัจจัยอื่น เป็นการท้าทายที่จะพิสูจน์ว่า มีบางสิ่งที่ก่อให้เกิดผลในเชิงบวก”
“อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอุปกรณ์นี้ มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะไม่ได้ฝังในร่างกาย จึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะใช้เงินของตนเองเพื่อซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ เราไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนที่เดินเข้ามาโรงพยาบาลได้ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดี หากคุณมีเงินจ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ได้”
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แม้ว่า เครื่องปรับระบบประสาท ในรูปแบบนี้จะปลอดภัย แต่ก็ยังอยู่ในขั้นทดลองในด้านผลลัพธ์ อุปกรณ์ พาราซิมจะมีราคาเกือบ 700 ปอนด์ ส่วนราคาของ แกมมาคอร์ อาจมีราคาที่ 625 ปอนด์สำหรับการใช้งานสองสามเดือน และแม้ว่าจะมีคู่แข่งที่มีราคาที่ถูกกว่ามากมาย แต่ราคาเริ่มลดลง
เครื่องปรับระบบประสาท ปลอดภัยหรือไม่
การใช้ เครื่องปรับระบบประสาท ครั้งแรกย้อนกลับไปในทศวรรษ 1960 โดยใช้อุปกรณ์ฝังเพื่อส่งแรงกระแทกเพื่อรักษาอาการปวดหลัง อุปกรณ์มีขนาดใหญ่และมีผลข้างเคียงในระยะยาว นับแต่นั้นมา เราก็มีการพัฒนามาไกลมาก และความเสี่ยงด้านสุขภาพก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน
เครื่องปรับระบบประสาท สามารถใช้ในสองรูปแบบที่แตกต่างกัน ชนิดแรกคือตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้นคืออุปกรณ์ที่ฝังไว้ในร่างกาย การฝังอุปกรณ์จะทำให้สามารถรับแรงกระแทกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่าเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงกว่า และสามารถก่อผลข้างเคียงได้ ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงน้อยกว่าจากการสังเกต เช่น ความรู้สึกไม่สบาย หรือการระคายเคืองต่อผิวหนัง และอาการปวดหัวเป็นครั้งคราว แต่ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น ผู้ป่วยอาจประสบกับการติดเชื้อที่บริเวณที่ฝังอุปกรณ์ อาการชัก มีเลือดออก และเหนื่อยล้าอย่างมาก
แล้วบริษัทต่างๆ มากมายจะขายอุปกรณ์ปรับระบบประสาทได้อย่างไร การปรับระบบประสาทแบบไม่ฝังซึ่งเป็นอุปกรณ์สวมใส่ได้ เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย โดยมีรายงานผลข้างเคียงเป็นการระคายเคืองผิวหนังเล็กน้อยเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ดันโดวิค อธิบายว่า ในกรณีของอุปกรณ์ พาราซิม ความเสี่ยงที่รายงานนั้นต่ำมาก ในการทดลองทางคลินิกของพวกเขาเอง พวกเขามีเซสชันการรักษามากกว่า 3 ล้านครั้ง โดยรายงานว่าไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงเกิดขึ้นเลย
เหตุใดจึงต้องยุ่งยากในการฝังอุปกรณ์ แค่หยิบอุปกรณ์สวมใส่แล้วข้ามปัญหาทั้งหมดไป ความจริงแล้วมันไม่ง่ายขนาดนั้น ด้วยการส่งสัญญาณผ่านผิวหนัง อุปกรณ์เหล่านี้ก็ไม่น่าจะทำงานได้เช่นกัน บางทีอาจไม่กระตุ้นเส้นประสาทเวกัสโดยตรง หรือกระตุ้นแต่ไม่สม่ำเสมอ
นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้งานด้วย การสวมใส่อุปกรณ์นั้นสำคัญ เพราะต้องการกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง โดยมีความปลอดภัยกว่า แต่สัญญาณที่ส่งออกมากระตุ้นนั้น ย่อมจะมีพลังงานน้อยกว่าแบบฝังติดตัว ปัจจัยที่กล่าวมานี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพิจารณาซื้อหามาใช้ โดยเทคโนโลยีนี้ มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นที่ประมาณ 600 ปอนด์ แต่อาจเกิน 1,000 ปอนด์ได้เมื่อรวมค่าอย่างอื่นเพิ่มเติม
ผู้เขียน : Alex Hughes
แปลไทยโดย : Wichai Purisa (senior scientist)
โฆษณา