8 ก.ค. เวลา 12:00 • ไลฟ์สไตล์
Rimping Supermarket NimCity Branch

ทำความรู้จัก “𝐅𝐨𝐫𝐭𝐢𝐟𝐢𝐞𝐝 𝐰𝐢𝐧𝐞" ไวน์เสริมแอลกอฮอล์ที่ทำขึ้นมาเพื่อรักษาไม่ให้ไวน์เน่าเสีย

เรื่องราวเกี่ยวกับไวน์มีความหลากหลายและมีเสน่ห์ เนื่องจากประวัติศาสตร์ของไวน์แต่ละชนิดจะเผยให้เห็นถึงวัฒนธรรม นวัตกรรม และต้นกำเนิด ทั้งนี้ในบรรดาไวน์ที่หลากหลายทั่วโลก “ฟอร์ติไฟด์ไวน์” (𝐅𝐨𝐫𝐭𝐢𝐟𝐢𝐞𝐝 𝐰𝐢𝐧𝐞) ถือเป็นไวน์อีกหนึ่งชนิดที่ได้รับการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
.
ฟอร์ติไฟด์เป็นไวน์ที่เสริมด้วยสุรากลั่นในระหว่างกระบวนการผลิตไวน์ เพื่อเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ให้สูงขึ้น โดยทั่วไปมักจะใช้บรั่นดี เมื่อเทียบกับไวน์ชนิดอื่น ๆ แล้วฟอร์ติไฟด์จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 18–22% ขณะที่ไวน์ทั่วไปจะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 10-15%
ทั้งนี้ฟอร์ติไฟด์เป็นไวน์ที่สามารถผลิตได้หลายรูปแบบทั้งแบบไม่หวาน (Dry) และแบบหวาน (Sweet) โดยผู้ผลิตสามารถควบคุมระดับความหวานได้ในกระบวนการเติมแอลกอฮอล์ลงไป เช่น ถ้าเราเติมแอลกอฮอล์ลงไปก่อนที่การหมักจะเสร็จสมบูรณ์ แอลกอฮอล์จะเข้าไปหยุดการทำงานของยีสต์แล้วทำให้ไวน์มีรสชาติหวานขึ้น เนื่องจากยังมีน้ำตาลคงค้างอยู่ แต่ถ้าหากเราเติมแอลกอฮอล์ลงไปหลังการหมักเสร็จสิ้น ยีสต์จะเข้าไปสลายปริมาณน้ำตาลในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น ทำให้ความหวานหายไปกลายเป็นแอลกอฮอล์ ส่งผลให้ได้ไวน์ที่ Dry ยิ่งขึ้น
.
ต้นกำเนิดของฟอร์ติไฟด์ไวน์ กล่าวกันว่าถูกทำขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ในยุโรป แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าประเทศใดเป็นผู้ริเริ่ม เนื่องจากในช่วงนั้นโรงผลิตไวน์หลายแห่งทั่วยุโรป เช่น โปรตุเกส และสเปน เริ่มเติมแอลกอฮอล์โดยเฉพาะบรั่นดีลงไปในไวน์ เพื่อรักษาไม่ให้ไวน์เน่าเสียระหว่างการขนส่งที่ยาวไกล
.
อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะช่วยรักษาไวน์จากการเน่าเสียเท่านั้น แต่พวกเขายังค้นพบเอกลักษณ์ของการเติมแอลกอฮอล์ลงไปในไวน์ด้วย เพราะไวน์มีรสชาติที่หวานเข้มข้นและซับซ้อน อีกทั้งยังมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น เหมาะสำหรับจิบช้า ๆ และดื่มด่ำไปกับรสชาติ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฟอร์ติไฟด์ไวน์ได้รับความนิยมในฐานะไวน์อีกหนึ่งชนิด
.
เมื่อเวลาผ่านไปฟอร์ติไฟด์ไวน์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเริ่มพัฒนาให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนส่งผลให้เกิดฟอร์ติไฟด์ไวน์หลากหลายชนิด
ศตวรรษที่ 16 มีฟอร์ติไฟด์ไวน์ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายนั่นก็คือ เชอร์รี่ (Sherry) ที่ผลิตในภูมิภาคอันดาลูเซีย ทางตอนใต้ของประเทศสเปน ส่วนใหญ่ผลิตจากองุ่น Palomino, Muscat และ Pedro Ximénez แล้วเติมบรั่นดีลงไป ซึ่งการผลิตไวน์เชอร์รี่มีความพิเศษตรงที่ผู้ผลิตจะผสมไวน์เชอร์รี่เข้ากับไวน์ที่บ่มมานานกว่า โดยเรียกวิธีการนี้ว่าโซเลรา
ทั้งนี้โดยทั่วไปไวน์เชอร์รี่จะมีแอลกอฮอล์ประมาณ 15-18% และมีหลากหลายสไตล์ให้เลือกตั้งแต่แบบไม่หวานไปจนถึงหวานฉ่ำ เช่น Fino และ Oloroso สำหรับผู้ที่มองหาไวน์ที่มีรสชาติหวานเป็นพิเศษเชอร์รี่ Pedro Ximénez ถือเป็นไวน์ที่ผู้คนชื่นชอบเป็นอันดับต้น ๆ ไวน์เชอร์รี่จะนิยมดื่มคู่กับทาปาส เค้กคริสต์มาส และขนมหวานอื่น ๆ
.
ศตวรรษที่ 17 ได้เกิดฟอร์ติไฟด์ไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือพอร์ตไวน์ (𝐏𝐨𝐫𝐭 𝐰𝐢𝐧𝐞) มีต้นกำเนิดใน หุบเขา Douro ของประเทศโปรตุเกส โดยพอร์ตไวน์มีชื่อเสียงในด้านรสชาติที่เข้มข้น หวาน และซับซ้อน มีให้เลือกหลายสไตล์ เช่น Ruby Port, Tawny Port, White Port และ Vintage Port โดยวินเทจพอร์ตจะเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีอายุยาวนานที่สุด นิยมดื่มหลังจากบรรจุขวดผ่านไปแล้ว 10 ปี หรือสามารถบ่มต่อได้อีกถึง 50 ปี
1
ซึ่งพอร์ตไวน์เหล่านี้เข้ากันได้ดีกับชีสหรือของหวาน เช่น เค้กอัลมอนด์ เค้กส้ม หรือครีมบรูเล่ ส่วนวินเทจพอร์ตจะเข้ากันได้ดีกับ Stilton blue cheese และดาร์กช็อกโกแลต ถือเป็นหนึ่งในการจับคู่ที่เพอร์เฟ็กที่สุด
.
ศตวรรษที่ 18 โปรตุเกสได้สร้างฟอร์ติไฟด์ไวน์ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาอีกหนึ่งชนิดคือ มาเดรา (Madeira) ผลิตในหมู่เกาะมาเดราประเทศโปรตุเกส สามารถผลิตได้หลากหลายสไตล์ตั้งแต่แบบ Dry ที่เสิร์ฟเรียกน้ำย่อย ไปจนถึงไวน์หวาน (Sweet) ที่เสิร์ฟพร้อมของหวานที่ทำจากครีมหรือช็อคโกแลต นอกจากนี้ไวน์มาเดรายังได้รับการเฉลิมฉลองในสหรัฐอเมริกา โดยมี โธมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 3 เป็นแฟนตัวยง เนื่องจากมาเดราเป็นหนึ่งในสินค้านำเข้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอาณานิคมอเมริกา
.
5
ศตวรรษที่ 19 ฟอร์ติไฟด์ไวน์ก็มีรูปแบบเพิ่มมากขึ้น เช่น เวอร์มุต (Vermouth) ที่ผลิตในอิตาลีมักเรียกอีกอย่างว่า 𝐀𝐫𝐨𝐦𝐚𝐭𝐢𝐳𝐞𝐝 𝐖𝐢𝐧𝐞 เนื่องจากมีการเพิ่มกลิ่นรสหลายชนิดเพื่อเปลี่ยนรสชาติ เช่น ผลไม้ ดอกไม้ เครื่องเทศ และสมุนไพรที่มีทั้งโป๊ยกั้ก คาโมมายล์ ขิง ควินิน หญ้าฝรั่น และอื่น ๆ อีกมากมาย เวอร์มุตที่ผลิตจากไวน์แดงจะเรียกว่า Sweet Vermouth ส่วนเวอร์มุตที่ผลิตจากไวน์ขาวจะเรียกว่า Dry Vermouth เป็นไวน์ที่เหมาะสำหรับดื่มเรียกน้ำย่อย
.
นอกจากนี้ในศตวรรษที่ 19 ยังมีฟอร์ติไฟด์ไวน์มาซาลา (Marsala) จากซิซิลีที่ได้รับความนิยม ซึ่งผลิตครั้งแรกโดยพ่อค้าชาวอังกฤษ John Woodhouse เพื่อทดแทน Sherry และ 𝐏𝐨𝐫𝐭 𝐰𝐢𝐧𝐞 ที่มีราคาแพง ทั้งนี้ไวน์มาซาลามีความหวานอยู่ 3 ระดับได้แก่แบบ Dry (Secco), หวาน (Semi Secco) และหวานมาก (Dolce) โดยชนิดที่ดีที่สุดผลิตโดยกระบวนการที่คล้ายคลึงกับเทคนิคโซเลราที่ใช้กับไวน์เชอร์รี่
นอกจากนี้ไวน์มาซาลายังมีด้วยกันถึง 3 สี ได้แก่ สีทอง (Oro) อำพัน (Ambra) และทับทิม (Rubino) ซึ่งสีทับทิมเป็นสีที่หายากมาก โดยทั่วไปแล้วจะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 15-20% นิยมดื่มคู่กับอาหารทะเล แต่มาซาลาที่หวานที่สุดเข้ากันได้ดีกับชีสและของหวาน
.
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผู้ผลิตไวน์ยังคงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องในหมวดฟอร์ติไฟด์ไวน์ ซึ่งมีรูปแบบและรสชาติใหม่ ๆ เพื่อรองรับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปัจจุบันฟอร์ติไฟด์ไวน์ยังคงดึงดูดจินตนาการและต่อมรับรสของผู้ที่ชื่นชอบไวน์ทั่วโลก
โฆษณา