12 พ.ค. เวลา 06:36 • ยานยนต์

เหตุผลที่ต้องเป็น รถไฟฟ้า(EV)

น้ำมันก็แพงขึ้น ค่าไฟก็แพงขึ้น ข้าวของก็แพงขึ้นทุกวัน
มีอะไรถูกลงบ้างมั๊ย?.... หลายคนคงบอกไม่มีหรอก..แต่ผมบอกเลย วันนี้มีสิ่งนึงที่ถูกลงมาเรื่อยๆ ถูกจนใครหลายคนตัดสินใจซื้อ รวมถึงผมด้วย สิ่งนั้นก็คือ " รถไฟฟ้า" นั่นเอง
คนที่ซื้อรถไฟฟ้า ต่างคนต่างมีเหตุผลแตกต่างกันไป ส่วนเหตุผลของผมนั้น วันนี้จะเอามาแชร์กับเพื่อนๆทุกคน เผื่อไอเดียของผมจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังตัดสินใจ(เป็นเหตุผลทางเศรฐศาสตร์นะครับ ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยียานยนต์)
ก่อนที่ผมจะซื้อรถไฟฟ้า บ้านผมก็ใช้รถน้ำมันเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ งานหลักของเจ้ารถน้ำมันก็คือใช้ไปรับ-ส่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน ตอนเช้าหนึ่งรอบ ตอนเย็นก็อีกรอบนึง รวมแล้วก็วันละ 80 กิโล นอกจากนั้นก็ใช้ขับไปซื้อของเข้าร้าน ไปหาอะไรกินนอกบ้านบ้าง เบ็ดเสร็จเดือนนึงก็วิ่งอยู่ราวๆ 3,500 กิโล
ดูระยะทางก็ไม่เยอะมากนัก แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ค่าน้ำมันมันแพง และรถของผมดันไม่ค่อยประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ ขับไปส่งลูกรถก็ติดอีก ทำให้อัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 12 กิโลเมตรต่อลิตร แกสโซฮอล์ 95 ที่ผมเติมราคาลิตรละ 40 บาท ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่ผมจ่ายสำหรับเดินทางคือ 3.33 บาทต่อกิโลเมตร (40บาท/12กิโลเมตร) เดือนนึงก็ต้องจ่ายรวม 11,655 บาท(3,500 กิโลเมตร×3.33 บาทต่อกิโล) ปีนึงก็ 139,860 บาท
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของไอเดีย..... "เปลี่ยนรถ".....
ไอเดียแรก ผมเล็งไปที่รถสี่แระตูดีเซลเพราะใช้ได้เอนกประสงค์และราคาน้ำมันแค่ลิตรละ 30 บาท ซึ่งถูกกว่าแกสโซฮอล์ 95 ของผม 25% ก็คงทำให้ผมประหยัดไปได้ราว 34,965 บาทต่อปี(139,860บาท×25%) ซึ่งผมคิดว่าจะซื้อเป็นรถมือสอง อายุรถสัก4-5 ปี ราคาราวๆ 4 แสนบาท
ไอเดียที่สอง ผมเล็งไปที่รถ ecocar เพราะเห็นเพื่อนใช้อยู่ อัตราบริโภคน้ำมันอยู่ 18 กิโลเมตรต่อลิตร (2.2บาทต่อกิโลเมตร) ซึ่งก็น่าจะทำให้ประหยัดค่าน้ำมันได้ราว 1.1 บาท/กิโลเมตร ปีนึงก็ 46,200 บาท ซึ่งก็คิดจะซื้อมือสองอายุรถสัก 3-4 ปี ราคา ก็ราวๆ 3 แสนบาท
ไอเดียที่สาม คือรถไฟฟ้า เพราะเห็นว่าประหยัดค่าเดินทางได้มาก คือถ้าชาร์ตที่บ้านเป็นหลัก ก็อยู่ที่ราว 0.7 บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งก็จะทำให้ประหยัดได้กิโลเมตรละ 2.6 บาท(3.3 บาท-0.7 บาท) ปีนึงก็คงประหยัดได้ถึง 109,200 บาท แต่ถ้าเลือกรถไฟฟ้าก็คงเป็นรถใหม่ป้ายแดง เพราะไม่กล้าซื้อมือสองแน่ๆ ซึ่งราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่ 5.5 แสน ไปจนถึง 1.2 ล้าน(ราคาปี 2024 แพงกว่านี้ก็มีแต่ตัดออกเพราะเกินกำลังซื้อของผมแน่ๆ)
ในส่วนรถไฮบริด และรถน้ำมันป้ายแดงผมตัดออก เพราะราคารถสูง นำมาเปรียบเทียบกันยากครับ
เมื่อนำทั้งสามไอเดีมาวิเคราะจุดคุ้มทุนดู จะเห็นว่ามีข้อสรุปได้ดังนี้
1.ไอเดียรถสี่ประตูดีเซลมือสองอายุ 4-5 ปีราคา 4 แสนบาท จะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 11.4 ปี(400.000÷34,965)
2. ไอเดียรถ ecocar มือสอง อายุรถ 3-4 ปี ราคา 3 แสนบาท จะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 6.5 ปี (300,000÷46,200)
3.ไอเดียรถไฟฟ้าป้ายแดง ราคาถูกสุด 5.5 แสนบาท จะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 5 ปี (550,000÷109,200)แต่ถ้าราคารถขยับไป 8 แสน จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 7.3 ปี(800,000÷109,200) ส่วน รถไฟฟ้าราคา 1.2 ล้าน จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 11 ปี (1,200,000÷109,200)
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจุดคุ้มทุนแล้วจะเห็นว่ารถไฟฟ้ารุ่นเล็กๆ ราคา5-6-แสนบาทจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด เพราะมีจุดคุ้มทุนในเวลา 5-6 ปีเท่านั้น
ยังมีอีกปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาคือเมื่อถึงจุดคุ้มทุนแล้ว มูลค่ารถที่เราใช้จะเหลือเท่าไหร่ ว่าแล้วก็เริ่มประเมินกัน
1.กรณีซื้อรถสี่ประตูมือสองอายุรถ 4-5 ปี เมื่อถึงจุดคุ้มทุน รถจะมีอายุราว 15-16 ปี มูลค่ารถคาดว่าจะเหลือราวๆ 1-1.5 แสน
2. กรณีซื้อรถ ecocar มือสองอายุรถ 3-4 ปี เมื่อถึงจุดคุ้มทุน รถจะมีอายุราวๆ 10 ปี มูลค่ารถจะอยู่ที่ราวๆ 1-1.3 แสน
3.กรณีซื้อรถไฟฟ้าป้ายแดง ราคา 6 แสน บาท เมื่อถึงจุดคุ้มทุนรถก็อายุ 6 ปี มูลค่ายังคงประเมินได้ยากเพราะตลาดรถไฟฟ้ามือสองยังคงไม่แพร่หลายนัก แต่ก็คาดว่าจากสภาพรถอายุ 6 ปี ถ้าแบตยังใช้ได้ราคาก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 2 แสน อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ (ปัจจุบันบริษัทรถแทบทุกค่ายจะมีรับประกันแบต 8 ปีหรือ 1.6 แสนกิโล มาเป็นตัวช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อ)
เมื่อประเมินจากเหตุผลทั้งหมดแล้ว รถไฟฟ้ารุ่นเล็กๆ ราคาไม่แรงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวผม นอกจากเรื่องจุดคุ้มทุนที่สั้นกว่ารถน้ำน้ำมันมือสองแล้ว ผมยังได้รถใหม่ป้ายแดงเทคโนโลยีทันสมัย มาขับให้ลูกเมียนั่งสบายๆ เท่ๆ แถมรักษ์โลก อีกด้วย
แล้วเพื่อนๆคิดเห็นเหมือนหรือต่างกันอย่างไรลองแชร์ไอเดียกันนะครับ
โฆษณา