12 พ.ค. เวลา 09:19 • ข่าว

เครือข่ายอนาคตกัญชาไทย ค้านนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด แนะออกกฎหมายคุม

หลังจากนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขคืนสถานะ "กัญชา" ให้กลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า
การเดินหน้าเรื่องนี้ต้องรักษาสมดุลระหว่างยาเสพติด กับธุรกิจบริการผลิตภัณฑ์กัญชาต่างๆ ไม่ให้ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะตามนโยบายคือ ใช้ทางการแพทย์และสถขภาพเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยยังต้องมีการหารือกันอีกหลายรอบ โดยคาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า
เครือข่ายฯ ไม่เห็นด้วยที่จะนำ "กัญชา" กลับไปเป็นยาเสพติด ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือเฉพาะส่วนของกัญชาก็ตาม
แต่มองว่า ควรควบคุมโดยใช้ พ.ร.บ.จะมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากกว่า เพราะจะสามารถนำเอาส่วนที่ดีของกัญชามาใช้ประโยชน์และควบคุมส่วนเสียได้ แต่เมื่อไรก็ตามที่เป็นยาเสพติดจะทำอะไรไม่ได้เลย และจะมีกติกาเฉพาะให้คนที่มีคุณสมบัติเท่านั้นที่ปลูกได้ คือการกีดกัน
ดังนั้น วันที่ 16 พ.ค.นี้ เครือข่ายฯ จะรวมตัวกันไปที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้กระทรวงสาธารณสุขทำเรื่องเดียว คือ การทำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เปรียบเทียบระหว่างบุหรี่ สุรา และกัญชาว่า 3 สิ่งนี้ สิ่งใดมีประโยชน์ต่อร่างกาย และสิ่งใดมีโทษต่อร่างกายอย่างไร แล้วเอาขอเท็จจริงนี้ในการกำหนด
โดยจะให้เวลา 15 วัน ดำเนินการจัดทำข้อมูลตรงนี้ หากกระทรวงสาธารณสุขไม่ทำ ก็จะปักหลักค้างคืนที่กระทรวงสาธารณสุขจนกว่าจะทำงานวิชาการชิ้นนี้ออกมาให้สังคมเห็น ถ้าทำแล้วพบว่า กัญชามันร้ายมากก็เอากลับไปเป็นยาเสพติดได้เลยเราไม่ขัด
เมื่อถามว่าเครือข่ายฯ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย ของกัญชา สุรา และบุหรี่ไว้แล้วหรือไม่ นายประสิทธิชัย กล่าวว่า ตอนนี้เรื่องบุหรี่และเหล้ามีงานวิจัยออกมาเป็นร้อยชิ้น เมื่อค้นอินเทอร์เน็ตจะเจอว่า ก่อโรคอะไร
บุหรี่เป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิตปีละกว่า 7 หมื่นคน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นสาเหตุของการก่อโรคเสียชีวิต รวมถึงอุบัติเหตุตั้งไม่รู้เท่าไรต่อปี
ขณะที่กัญชาเมื่อค้นอินเทอร์เน็ตว่า มีอันตรายอะไรบ้าง ก็จะมีแค่ข่าวว่า มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้เกิดอาการฟั่นเฟือน ไม่มีงานวิจัยเป๊ะๆ ออกมา
แต่เมื่อค้นว่า กัญชามีประโยชน์อย่างไรก็จะพบงาวิจัยจำนวนมาก เป็นการพิสูจน์ว่า ต้นไม้ต้นหนึ่งที่หมอพื้นบ้านใช้ในการรักษาสุขภาพกันมา คือยา แต่ปัญหาคือมีการปั่นจนทำให้กัญชาถูกมองเป็นปีศาจร้าย
เมื่อถามว่า รมว.สาธารณสุข ระบุว่า 2 ปี ที่มีการปลดล็อค ทำให้วัยรุ่นเสพมากขึ้น ไอคิวลดลงกว่า 8-9 จุด นายประสิทธิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ ต้องดู 2 อย่าง คือ
1. ข้อเท็จจริง ที่บอกว่า เยาวชนสูบเพิ่มขึ้น 10 เท่า ตนกำลังตามหางานวิจัยที่ว่านี้ เนื่องจากกัญชามีฤทธิ์กล่อมประสาท ทำให้ง่วงนอน ถ้าสืบจากร้านกัญชา จะพบว่า คนที่มาซื้อคือคนที่สูบมาก่อนจะปลดล็อก อายุ 40 ปี ขึ้นไป คนสูบรายใหม่น้อยมาก จนร้านกัญชาต้องปิดตัวไปเยอะ ดังนั้นที่บอกว่า เยาวชนเสพมากนั้นเอาข้อมูลมาจากที่ไหน ทำวิจัยถูกต้องหรือไม่
2.ในแง่ของกฎหมาย ปัจจุบัน มีพ.ร.บ.สมุนไพรที่ควบคุมกัญชา ห้ามสูบ ใครจะนำกัญชาไปทำอะไรต้องขออนุญาต แต่ต้องบอกว่าไม่มีความรัดกุม ซึ่งหากเป็น พ.ร.บ.จะมีอำนาจ มีเจ้าหน้าที่ มีงบประมาณ เป็นโครงสร้างที่สามารถจัดการกัญชาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
เราเรียกร้องมา 2 ปีแล้วเช่นกันว่า ให้ออก พ.ร.บ.มาควบคุม พูดง่าย ๆ คือตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เล่นการเมืองมาตลอด ไม่ยอมผ่าน พ.ร.บ.  ซึ่งหากผ่าน คิดว่า เป็นกฎหมายที่ควบคุมได้ดี หมวดว่าด้วยการคุมครองผู้บริโภค ค่อนข้างรัดกุม บทลงโทษสูง
เมื่อเทียบกับบรรดาสิ่งอื่นที่คุ้มครองเยาวชน ถือว่า โทษหนักมากเพราะมีความเป็นห่วงจากหลายองค์กร แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ยังไม่ทำ
ตอนนี้มีพ.ร.บ. 4 ฉบับที่อยู่บนโต๊ะนายกฯ มาหลายเดือนแล้วแต่ไม่ยอมเซ็น ทั้งที่หากเซ็นแล้วก็จะเข้าสู่วาระ 1 สภาผู้แทนราษฎร คลอด พ.ร.บ.ออกมาแล้ว ทุกอย่างก็จะอยู่ภายใต้การควบคุม แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ แต่เลือกที่จะเอากลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งเราคิดว่าไม่ได้ดำเนินการอยู่บนข้อเท็จจริง
เรื่องนี้ตนมองว่า เป็นเรื่องการเมือง เราต้องไปดูกระบวนการในรอบที่แล้ว ร่างพ.ร.บ.กัญชา ผ่านขั้นตอนตามกฎหมายมาตั้งกี่ชุด ผ่านวาระ 1 วาระ 2 แล้วว่า กัญชาไม่ใช่ยาเสพติด ผ่านการรับรองของสภาแล้ว
คำถามคือ วันนี้พรรคเพื่อไทยจะเอากลับไปเป็นยาเสพติด มันมีข้อเท็จจริงใหม่อย่างไรในรอบ 2 ปีที่ปลดล็อค ที่ทำให้เกิดความรุนแรงแล้วต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติด ที่อ้างว่าเยาวชนเสพเพิ่ม 10 เท่าก็ต้องเอางานวิจัยมาอ้างอิงก่อน เพราะข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า อะไรที่ใหม่ วัยรุ่นอยากลองเสมอ เหมือนกับตอนที่ปลดล็อคกระท่อม แต่เพียง 3 เดือน เท่านั้นเขาก็ไม่ลองอีก เพราะมันเป็นฤทธิ์กล่อม ไม่ใช่ฤทธิ์กระตุ้น
เมื่อถามว่า เครือข่ายมองนโยบายของรัฐบาลต่อกัญชา สุรา บุหรี่ ปัจจุบัน อย่างไร นายประสิทธิชัย กล่าวว่า ถ้าสังเกตรัฐบาลนี้ เฉพาะเรื่องเหล้า มีการเปิดให้บริโภคกันมากขึ้น เริ่มแรกจากการให้เปิดถึงตี 4 แล้วตอนหลังทำท่าจะให้ซื้อ ขายได้ 24 ชั่วโมง
มองว่าการที่รัฐส่งเสริมบุหรี่เพราะรัฐเป็นเจ้าของ รัฐได้เงิน ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลาดกว่า 2 แสนล้านบาท จะมี 2 ตระกูลใหญ่คุมอยู่ ก็ต้องมีหน้าที่ส่งเสริมให้มีการบริโภค
ส่วนกัญชาซึ่งเป็นธุรกิจแสนล้านบาท ถ้าเมื่อไรที่มีผู้ผลิตน้อยรายก็จะสามารถควบคุมได้ คนทั้งประเทศก็ต้องบริโภคของจากผู้ผลิตน้อยราย แล้วใน 3 สิ่งนี้ ถ้าใช้ข้อเท็จจริงมาคุม คิดว่า สิ่งที่ต้องควบคุมเป็นยาเสพติดคือบุหรี่กับเหล้ามากกว่า
เพราะข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์พบก่อโรค ทำคนเสียชีวิตเยอะ แต่คนเคยชินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้จะเรียกร้องให้เอาเหล้า บุหรี่เข้าเป็นยาเสพติด
แต่ที่เรียกร้อง คือ ในเมื่อรัฐบาลอนุญาตให้ 2 สิ่งนี้อยู่ในสังคมได้ แล้วทำไมจะไม่อนุญาตให้พืชต้นหนึ่งอยู่ในสังคมได้ภายใต้กฎหมายควบคุม ไม่ใช่เสรีแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เราต้องการ และถ้ารัฐบาลไม่รับคอนเซ็ปต์นี้แสดงว่า รัฐบาล มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องในเชิงการตัดสินใจ
เป็นเรื่องแปลกที่ต้องให้ประชาชนมาเรียกร้องให้ทำข้อมูล ข้อเท็จจริงออกมา เพื่อตัดสินนโยบาย จริงๆ แล้วกระทรวงสาธารณสุข ควรทำข้อเท็จจริงออกมาตั้งแต่ต้นแล้ว ตอน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นรมว.สาธารณสุข เราก็ไปเรียกร้องให้ทำข้อมูลเปรียบเทียบ 3 สิ่งนี้เพื่อให้สังคมเห็นชัดเจนถึงอันตราย
อย่างบุหรี่ไฟฟ้า ตอนนี้เยาวชนห้อยคอสูบเยอะมาก แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร กลับมาจับจ้องกัญชาที่นานๆ จะมีข่าวเยาวชนสูบ คิดว่ามันเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงเยอะมากในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ ตอนนี้นักข่าวต่างประเทศมาสัมภาษณ์ตนเยอะมาก ทั่วโลกกำลังสนใจมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นความกลับไปกลับมาของรัฐไทยได้อย่างไร
โฆษณา