15 พ.ค. เวลา 12:00 • การ์ตูน

อนิเมะประจำฤดูใบไม้ผลิ 2024 (Part 2)

ฤดูกาลนี้อัดแน่นไปด้วยอนิเมะมากมายที่น่าดูครับ หลังจากที่ผมเขียนและลงโพสเกี่ยวกับอนิเมะ 7 เรื่องที่ผมดูในฤดูกาลนี้ไปแล้ว สัปดาห์หลังจากนั้นผมก็ดันไปหาอนิเมะดูเพิ่มอีก ทำให้วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันดูอนิเมะของผม คิวเต็มไปเพราะอนิเมะหลายเรื่องที่ผมเลือกที่จะดูในเวลาเดียวกัน ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะดีที่จะมาอัพเดทว่าผมดูเรื่องอะไรเพิ่มเติมเข้ามาอีกครับ
Mysterious Disappearances
Mysterious Disappearances
ผมห้ามใจที่จะไม่ลองดูเรื่องนี้ไม่ได้เลยครับ เพราะผมชอบพวกอะไรลึกลับอยู่ด้วย ส่วนตัวแล้ว ผมชอบเรื่องผีครับ แต่ไม่ชอบเรื่องสยองขวัญ แปลกไหมครับ คือ ผมชอบเรื่องที่มันแปลก ๆ พวกภูมิผีปีศาจ สิ่งลี้ลับ ตำนานต่าง ๆ แต่ก็ไม่อยากจะกลัว จริง ๆ แล้วผมมีเรื่องของตัวเองอยู่ด้วยที่เจอมาหลายครั้งตั้งแต่เป็นเด็ก ผมคิดว่า ไว้มีโอกาสน่าจะเอามาเขียนเล่าให้ฟัง แต่มันไม่ได้น่ากลัวอะไรครับ พูดได้ว่า ผมชินแล้ว
ดังนั้น เมื่อมีอนิเมะที่ดัดแปลงมาจากมังงะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมสนใจ ผมก็ลองดูครับ Mysterious Disappearances เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุมิเระโกะ สาวไว้ทำงานที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียน แม้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็กจะสามารถเขียนนิยายจนได้รางวัลมาแล้ว แต่เมื่อโตขึ้น ความคาดหวังและความสามารถในการจินตนาการจากเมื่อวัยเด็กก็เปลี่ยนไป จนวันหนึ่ง เธอได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ทำให้เธอกลับกลายเป็นเด็กได้อีกครั้ง
ตอนแรกผมคิดว่ามันจะเกี่ยวกับประเด็นนี้เป็นหลัก แต่กลายเป็นว่า เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับตำนานสิ่งแปลกประหลาดอื่น ๆ ด้วย อย่างตอนหนึ่งใน Mysterious Disappearances พูดถึงตำนานญี่ปุ่นอย่าง อุชิโอนิ ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีหัวเป็นวัวแต่ตัวเป็นแมงมุม เป็นสิ่งที่ในเรื่อง Dungeon Meshi ก็มีครับ อย่างในตอนที่ 16 และ 17 แต่หนุ่มเร็นกลับบอกว่าเขาคาดการณ์ผิดไป
Ushi Oni
เขาบอกว่า สิ่งที่พวกเขาเจอไม่ใช่อุชิโอนิ แต่เป็นสิ่งที่อันตรายมากกว่านั้น มันทำให้ผมคิดถึงอีกตำนานหนึ่งของญี่ปุ่นทันทีว่า หากไม่ใช่อุชิโอนิ แต่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายสุด ๆ มีลักษณะเป็นวัว ผมคิดถึงโกซู หรือหัววัว ซึ่งมีตำนานเล่าว่า เป็นเรื่องปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในญี่ปุ่น ที่คนที่ฟังจะกลัวจนน้ำหูน้ำตาไหล น่ากลัวจนผู้เล่าและผู้ฟังจะลืมเรื่องนั้นไปเลย แต่ผมไปสืบเรื่องต่อไป พบว่าเป็นตำนานที่น่าสยองและน่าสนใจในเวลาเดียวกันครับ
ผมต้องยอมรับว่า อนิเมะตอนแรกทำออกมาได้ดีครับ แต่เมื่อตอนต่อมา คุณภาพอนิเมชั่นกลับแย่ลงเรื่อย ๆ จนผมเป็นห่วง เรื่องนี้ยังอยู่ในเรด้าของผมที่จะทิ้งอนิเมะแล้วไปอ่านมังงะต้นฉบับครับ เพราะผมต้องคัดอนิเมะออกบ้าง ไม่งั้นผมใช้เวลาดูอนิเมะต่อสัปดาห์เยอะเกินไป
Go! Go! Loser Ranger!
Go! Go! Loser Ranger!
อนิเมะอีกเรื่องที่ดัดแปลงมาจากมังงะ คือ Go! Go! Loser Ranger! เป็นเรื่องที่มีเนื้อหามาจากเรื่องแนวขบวนการเซ็นไต ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมชอบขบวนการแบบนี้มาก แต่ก็จำไม่ได้ว่าเลิกดูไปตั้งแต่ตอนไหน (อาจจะเลิกดูตั้งแต่คอนเซ็ปต์มันแปลกขึ้นทุกที ๆ) เรื่องนี้ผสมระหว่างขบวนการเซ็นไตกับ The Boys ซึ่งเป็นซีรีส์ที่เพื่อนสนิทมิตรสหายของผมมากมายแนะนำให้ผมดู แต่ผมยังไม่มีโอกาสดูสักที
Go! Go! Loser Ranger! เล่าเรื่องของโลกที่มีปีศาจมาบุก และเหล่ามนุษย์มีขบวนการเซ็นไตมาปราบปีศาจเหล่านั้น แต่โลกนั้นสงบสุขลงแล้ว เพราะปีศาจตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงเหล่ากีกี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ประชาชนไม่รู้เรื่องนี้ เหล่าฮีโร่จึงจัดฉากต่อสู้กับวายร้ายเป็นสื่อบันเทิง จัดฉากขึ้นมาเพื่อเรียกเสียงสนับสนุน และเล่าเรื่องของกีกี้ตัวหนึ่ง หรือ Fighter D ที่ไม่อยากจะอยู่ในโลกที่จัดฉากแบบนี้อีกแล้ว และออกเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของโลกที่ไม่เป็นธรรมสำหรับพวกเขา
อนิเมชั่นของอนิเมะเรื่องนี้ไม่ได้แย่เลยครับ ลื่นไหลดี ไม่มีสะดุด ผมคิดว่าน่าจะมีผสมซีจีด้วย แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มากพอที่จะแยกออกทันทีว่าใช่หรือไม่ใช่ เรื่องนี้มีมุมซีเรียสแบบตลกร้าย และตลกแบบธรรมดาอย่างลงตัว แต่ที่ผมสนใจคือความตื้นลึกหนาบางของเนื้อเรื่องมากกว่า เพราะดูท่าทีแล้ว ภายใต้เนื้อเรื่องที่เรียบง่ายอย่างกีกี้ปลอมตัวเข้าไปอยู่ในองค์กรพิทักษ์โลก ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น อนิเมะแต่ละตอนค่อย ๆ เปิดเผยปริศนาเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
อย่างตอนต้นเรื่องตอนที่ 4 ที่ผมรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องที่ดาร์ก และตอนจบตอนที่ 5 ที่ทำให้ผมคิดว่า แนวการเขียนมันคงช้ามาก ๆ แต่มีอะไรที่ต้องรอลุ้นเยอะ และที่สำคัญ คือเรื่องของความเป็นองค์กร ความชั่วร้ายลึก ๆ คอร์รัปชั่น การแก่งแย่งชิงดีกันเอง ผมว่ามันน่าสนใจมากครับ ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องนี้จะมีทิศทางออกไปทางไหน ต้องติดตามดูต่อครับ
อีกอย่าง เพลงเปิดกับเพลงปิดโคตรเท่ครับ
Mission: Yozakura Family
Mission: Yozakura Family
อนิเมะดัดแปลงจากมังงะโชเน็นจัมป์อย่าง Mission: Yozakura Family อยู่ในความสนใจของผมมานานครับ เพราะเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงอย่างมากในวงการมังงะ อีกทั้งผมเห็นหน้าตัวละครเรื่องนี้ในแอปอ่านมังงะของ JUMP อยู่ทุกสัปดาห์ เหตุผลที่ผมไม่คิดจะอ่านตั้งแต่แรกเพราะว่าผมคิดว่ามันเป็นโชเน็นจัด ๆ แบบพระเอกวัยเรียนเข้าองค์กรจารชน เพื่อต่อสู้กับอะไรสักอย่างแบบจริงจัง และปกป้องสาวที่ตนเองรักไปด้วย ซึ่งมันไม่ใช่แนวที่ผมในวัยนี้จะสนใจครับ
แต่เพราะอะไรไม่รู้ วันหนึ่งผมตัดสินใจให้โอกาสมันสักตอน แบบที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย ปรากฎว่าดูจนตอนล่าสุดเลย พบว่ามันเป็นคอมเมดี้ ผมเองก็ลืมไปว่า โชเน็นจัมป์ขยายขอบเขตแนวมังงะจากแค่ต่อสู้ไปเรื่อย ๆ เป็นเรื่องรัก ๆ และตลกโปกฮาด้วย ผมสนุกไปกับความไร้สาระและความบ้าบอของเรื่องนี้ครับ หากจะอธิบายสั้น ๆ ก็คือ Spy x Family แบบบ้าบอมากขึ้น แต่จริง ๆ แล้วมันเทียบกันไม่ได้ เพราะมันคนละแนวเลย
เรื่องราวเล่าถึงพระเอกที่สูญเสียทั้งครอบครัวไปตั้งแต่เด็ก ประสบการณ์ความสูญเสียนั้นทำให้เขามีปม แต่วันดีคืนดี มีคนหมายหัวเขา พยายามจะฆ่าเขา มาพบทีหลังว่า คนนั้นเป็นพี่ชายของเพื่อนสาววัยเด็กของพระเอกที่มีโรค sis-con อย่างรุนแรง และปรากฏว่า ทั้งครอบครัวของนางเอก (ก็คือเพื่อนวัยเด็กของพระเอก) เป็นครอบครัวสปาย วิธีที่เขาจะรอดก็คือกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนางเอก โดยการแต่งงานกับนางเอกนั่นเอง
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือความฮาและความบ้าบอคอแตกไร้เหตุผลของเรื่องนี้ครับ มันไม่ต้องคิดอะไรเยอะ อย่าไปตามหาสาเหตุอะไรเกี่ยวกับมัน เป็นอนิเมะคอมเมดี้ที่ดูแล้วเบาใจครับ เหมาะที่จะดูระหว่างอนิเมะที่มีเนื้อหาหนัก ๆ แบบปวดตับเรื่องอื่น ๆ (แต่ก็ใช่ว่าจะมีอนิเมะแนวนั้นเยอะในฤดูกาลนี้)
อีกสิ่งที่ผมชอบตั้งแต่ตอนแรกเลยก็คือ การที่พระเอกไม่ได้เป็นพระเอกแนวโดดเดี่ยวในห้องเรียนเหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่ชอบเขียนพระเอกแบบ Anti-Social หรือไม่มีเพื่อน (เพราะมันจี้ใจผมเกินไป) แม้ว่าเปิดเรื่องมาจะทำให้ดูเหมือนพระเอกไม่มีเพื่อน แต่จริง ๆ แล้วเพราะประสบการณ์ที่เลวร้ายในอดีตทำให้เขามีปม และไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนเข้าหา เพื่อนที่พยายามมาคุยกับเขาก็น่ารัก มีความพยายามมาก อีกสิ่งหนึ่งคือ ความ sis-con ของไอพี่ชายมันมีเหตุและผลอยู่แบบเข้าใจได้ครับ
Train to the End of the World
Train to the End of the World
อนิเมะเรื่องนี้แปลก ผมสรรหาคนบรรยายอย่างอื่นไม่ได้ แต่กลับน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก แน่นอนว่าในฤดูกาลนี้ ผมมีอนิเมะแนว Cute-girls-doing-cute-things แล้วอย่าง Jellyfish can’t Swim in the Night แต่เรื่องนี้ แน่นอนว่ามี Cute Girls แต่ผมยังไม่เห็น Cute Things เลย และมันแอบเป็นอนิเมะที่ซ่อนความน่ากลัวอะไรสักอย่างไว้แบบที่ผมก็คาดเดาไม่ได้เลย
Train to the End of the World เล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงสี่คนกับหมาหนึ่งตัวที่เดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟในโลกที่เปลี่ยนและแปลกไปแบบเหนือจินตนาการหลังจากการเริ่มใช้ 7G โลกที่เปลี่ยนไปมีทั้งการเปลี่ยนเมือง ๆ หนึ่งจากคนเป็นสัตว์ที่พูดได้เมื่อคนในเมืองนั้นอายุครบจำนวนหนึ่ง เด็กสาวทั้งสี่กับหมาอีกหนึ่งตัวเดินทางด้วยรถไฟไปยังอิเกะบุคุโระเพื่อไปตามหาเพื่อนของพวกเธอคนหนึ่ง
การเดินทางระหว่างเมืองด้วยรถไฟไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปในอีกส่วนหนึ่ง นั่นคือ ระหว่างเมืองห่างไกลออกจากกันมากขึ้น ทำให้การเดินทางระหว่างเมืองที่สี่สาวกับหมาหนึ่งตัวอยู่ไปยังอิเกะบุคุโระใช้เวลามากกว่าปกติ ถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลามากขนาดไหน
ระหว่างการเดินทาง เหล่ากลุ่มเด็กสาวต้องผ่านสถานีที่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ตั้งแต่เจอคนหัวเห็ด เมืองที่ฝนตกเป็นลูกกอล์ฟ เมืองที่ทั้งเมืองและคนในเมืองตัวเล็กลง และอื่น ๆ อีกมากมาย เรื่องราวพยายามที่จะบอกใบ้เราเรื่อย ๆ ว่าในโลกที่เรากำลังพบเจออยู่นั้นอันตรายมากกว่าที่เห็น
อนิเมชั่นลื่นตามากครับ และสิ่งที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือจังหวะการดำเนินเนื้อเรื่อง เราอาจจะชินกับการดำเนินเรื่องที่ช้า ๆ แบบอนิเมะหรือซีรีส์ทั่ว ๆ ไป ที่ตัวละครคุยกัน และมีเว้นระยะเวลาสักครู่แล้วจึงพูดต่อ หรือดำเนินเรื่องต่อ หรือเมื่อมีปมขัดแย้งอะไรเกิดขึ้น การแก้ปมแบบนั้น อย่างเร็วก็อาจจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งตอน แต่เรื่องนี้เหมือนเขารีบครับ ทุกอย่างเร็วมาก ตัวละครพูดเร็ว ดำเนินเรื่องเร็ว แก้ปมเร็ว เปลี่ยนฉากเร็ว คือตัดความชักช้าระหว่างบทออกทั้งหมด
ผมมองว่ามันเหมือนกับการทดลองการดำเนินเรื่องแบบใหม่ครับ ที่ผมบอกว่าเร็ว มีอนิเมะที่เร็ว ๆ เรื่องอื่นอีก เช่น ซีรีส์โมโนกาตาริ ที่เร็วเหมือนกัน แต่ก็มีช้าบ้างตามโอกาส แต่ที่ผมว่ามันเร็วในโมโนกาตาริคือ บทพูด อีกเรื่องที่เร็วแบบที่ผมต้องพักไว้ก่อนเลยคือ Tatami Galaxy แต่อันนั้นเร็วอย่างเห็นได้ชัด แต่ Train to the End of the World มันเร็วแบบ Uncanny ครับ มันอยู่ระหว่างเร็วกับช้า คือตัวละครไม่พูดเร็ว แต่บทสนทนาเร็ว ภาพไม่ได้เร็ว แต่การดำเนินเรื่องกับการเปลี่ยนฉากเร็ว
มันยากที่จะบรรยายครับ คงต้องไปดูกันเอง เหมือนอนิเมะเข้าใจคนดูที่ขี้เกียจดูเรื่องที่ชักช้า ก็เลยทำให้จังหวะทุกอย่างมันเร็วขึ้น ไม่มี gap สิ่งหนึ่งเกิด อีกสิ่งหนึ่งตาม สิ่งหนึ่งคลี่คลาย อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเลย พ้นจากสถานีหนึ่ง ก็ถึงอีกสถานีเลย มันเป็นจังหวะแปลก ๆ ครับ แต่ผมคิดว่าน่าสนใจดี
Demon Slayer ss 4
Demon Slayer SS 4: Hashira Training Arc
ดาบพิฆาตอสูร ซีซั่น 4 เพิ่งเริ่มหนึ่งวันก่อนหน้าที่ผมกำลังเขียนอยู่ในตอนนี้ แน่นอนว่าผมจะต้องดู แต่เพราะซีซั่นนี้เพิ่งฉายไปได้แค่ตอนเดียว ผมก็ยังไม่มีอะไรจะพูดถึงมันมาก แต่แม้ว่าผมจะมีปัญหากับอนิเมะเรื่องนี้เล็กน้อย โดยเฉพาะความโด่งดังจนเกินเหตูไปหน่อยของมัน หรือความคิดเห็นของผมที่ว่า อนิเมชั่นแบกเรื่องนี้ แต่ผมก็จะไม่ดูก็ไม่ได้
ความรู้สึกเหมือน Jujutsu Kaisen ครับ ผมเบื่อโชเน็น แต่จะไม่ดูก็ไม่ได้ คิดว่าจะไม่ดู สุดท้ายก็ดูอยู่ดี อาจจะเพราะคุณภาพอนิเมชั่นจากค่าย Ufotable ที่ดึงดูดผู้ชมมากก็ได้ครับ เรียกได้ว่า ผมมาดูดาบพิฆาตอสูรเพราะความจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเพราะคุณภาพอนิเมชั่นที่น่าติดตามครับ
How to Love Your Elf Bride
เรื่องอื่น ๆ ที่อยากจะดู แต่ต้องเอาไว้ก่อน
ผมคิดว่าผมยังไม่มีอนิเมะแนวโรแมนส์ดูเลยในฤดูกาลนี้ สำหรับผม อนิเมะแนวโรแมนส์เป็นอนิเมะแนวแฟนตาซีที่ยิ่งกว่าแฟนตาซีอีกครับ เพราะความไม่สมจริงของมัน (เอาฮานะครับ) จริง ๆ ก็อยากจะหาอะไรที่มันนุ่มฟูเพิ่มเหมือนกัน อาจจะเพราะอนิเมะที่ดูเพิ่มมาอย่าง Mysterious Disappearances กับ Train to the End of the World ที่คิดว่าน่าสนใจในฤดูกาลนี้มีอย่าง A Condition Called Love ที่เป็นโชโจ และ How to Love Your Elf Bride ที่มีความแฟนตาซี
Oblivion Battery ก็น่าดูครับ สำหรับผมที่ชอบเบสบอลอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก (ซึ่งเป็นกีฬาที่ไม่ได้รับความนิยมเลยในแต่ละประเทศที่ผมไปอยู่) อนิเมะเรื่องนี้ได้ MAPPA มาดูแล ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าค่ายนี้จะทำอนิเมะที่ไม่ได้เน้นต่อสู้ในยุคสมัยนี้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเลือกที่จะไม่ดูก็เพราะว่า ผู้ชายมันเยอะไปหน่อยไหม เช่นเดียวกับอนิเมะแนวต่อยตีจริง ๆ จัง ๆ อย่าง Wind Breaker ที่ผมเห็นคนชื่นชมอยู่ไม่น้อยครับ แต่ผมไม่ชอบแนวนักเลงเท่าไหร่
Tonari no Yokai san
และเพราะความที่ผมชอบอะไรที่เกี่ยวกับภูมิผีปีศาจหรือตำนานเก่า ๆ ผมก็สนใจอนิเมะอย่างเรื่อง Tonari no Yokai-san เหมือนกัน ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำนานผีปีศาจ แต่ก็ดูทรงแล้วมีความนุ่มฟูดูง่ายสบายตาอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมมีอนิเมะที่ต้องดูทุกวันอาทิตย์ของผม 12 เรื่องแล้ว รวม ๆ แล้วต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ
และนี่คืออนิเมะที่ผมดูเพิ่มมาจากรายการที่นำเสนอไปครั้งที่แล้วประจำฤดูใบไม้ผลิ 2024 ไม่แน่ว่าผมอาจจะ drop บางเรื่องเพราะเหตุผลมากมาย อย่างคุณภาพอนิเมชั่น เนื้อเรื่องที่จำเจไม่ไปไหน หรือดูแล้วเบื่อ ขี้เกียจดูต่อ แล้วเอาอนิเมะเรื่องอื่นที่ผมพูดถึงมาดูต่อแทนก็ได้ครับ อย่างไรก็ตาม ผมคาดการณ์ผิด คิดว่าฤดูกาลนี้ไม่ค่อยมีอนิเมะน่าดู แต่กลายเป็นว่ามันเป็นฤดูกาลที่ผมดูอนิเมะเยอะที่สุด
Hibike! Euphonium ss 3
ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ยังรอให้ Hibike! Euphonium SS 3 ฉายครบทุกต่ออยู่ เพราะในใจลึก ๆ อยากดูใจขาดอยู่แล้ว แต่ก็ต้องห้ามในเอาไว้ จะได้ดูครบทั้งซีซั่นทีเดียว พูดเอาจริง ๆ ก็คือ ที่ดูอนิเมะเยอะกว่าปกติในฤดูกาลนี้ ก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผมเองออกไปจาก Hibike! Euphonium SS 3
โฆษณา