18 พ.ค. เวลา 01:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ

📈 ทำไมตลาดหุ้นสหรัฐฯจะทำ All Time High ไปเรื่อยๆ 🔥

อย่างไรที่เราทราบกันนะคะว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯได้กลับมาทำ All Time High อีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากในถูกเทขายในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งอย่างที่นิคกี้เคยบอกไว้ว่าจังหวะนั้นเป็นจังหวะ Buy On Dip ที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้นซักที ซึ่งหลายๆคนก็ได้ซื้อ แต่อีกหลายคนก็ไม่ซื้อ
ดังนั้นวันนี้นิคกี้จะเอาข้อมูลแค่ 3 ข้อมาเล่าให้ฟังค่ะว่าทำไมทุกคนถึงยังควรมีหุ้นสหรัฐฯไว้ในพอร์ต เพราะมันจะทำ All Time High ไปเรื่อยๆนั่นเองค่ะ 😉
1️⃣ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่ง
1
ณ ตอนนี้ดัชนี S&P500 ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/24 มาแล้วเกือบ 90% โดยถ้าเราดูจาก (รูปแรก) จะพบว่า S&P500 มีอัตราการเติบโตของกำไรถึง 7.1% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.8% เท่านั้น หรือพูดง่ายๆคือผลประกอบการออกมาดีกว่าคาดเกือบ 2 เท่าเลยทีเดียวคะ (ดูจากแท่งสีฟ้าอันแรก) นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์อีกว่ากำไรจะเติบโตได้สูงขึ้นเรื่องๆต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 เลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้ใน (รูปที่ 2) จะเป็นสัดส่วน บริษัทที่มีการปรับประมาณการณ์กำไรขึ้น เทียบกับ บริษัทที่ถูกปรับประมาณการณ์กำไรลง ซึ่งจากรูปเราจะเห็นว่าแตะระดับสูงสุดในปีนี้ และสูงสุดตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สะท้อนว่าตอนนี้มีจำนวนบริษัทที่ถูกปรับกำไรขึ้นมากกว่าบริษัทที่ถูกปรับกำไรลงเยอะมากๆ หรือแปลความหมายได้ว่า มีจำนวนบริษัทมากขึ้นที่กลับมาทำกำไรได้ดีกว่าคาดนั่นเอง ไม่ได้แค่ต้องหวังพึ่งพากลุ่ม 7 นางฟ้าที่แบกขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วค่ะ
4
ดังนั้นอย่างที่นิคกี้บอกมาโดยตลอด ผลประกอบการคือเจ้ามือที่แท้จริง ถ้างบดีแบบนี้ เติบโตได้เรื่อยๆ สุดท้ายราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นนั่นเองค่ะ
2️⃣ อีกซักพักไม่นานเกินรอ ตลาดจะได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ย
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯได้มีพลิกกลับมาปรับตัวลงอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ไปตามอ่านได้ที่ลิงค์ในคอมเม้น) ทำให้ตอนนี้นักลงทุนคาดการณ์แล้วว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และครั้งแรกอาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตามกรรมการเฟดหลายๆท่านยังคงออกมายืนยันว่าเฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย และจะอดทนรอไปเรื่อยๆคนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่กรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน
2
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่นิคกี้จะบอกว่า เฟดเองก็รอนานๆไม่ได้เหมือนกันค่ะ เพราะเริ่มโดนกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงแล้วนั่นเองค่ะ โดยถ้าเราไปดูจาก (รูปที่ 3) จะพบว่า ดัชนี Citi Economic Surprise ของสหรัฐฯร่วงลงจนแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 แล้วนั่นเอง (ดัชนีนี้บอกว่าตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีหรือแย่กว่าคาดค่ะ) สะท้อนว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
2
ดังนั้นหากเฟดรอนานเกินไปที่จะลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจเปลี่ยนผลลัพธ์จาก Soft Landing กลายเป็น Hard Landing แล้วนั่นเอง ซึ่งเฟดคงไม่ได้อยากให้เกิดภาพแบบนั้นแน่ๆค่ะ ซึ่งนิคกี้ฟันธงเลยว่าปีนี้เฟดจะลดดอกเบี้ยอย่างแน่นอนค่ะ และการลดดอกเบี้ยจะกลายเป็นอีก 1 ปัจจัยที่จะหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อนั่นเองค่ะ
3
3️⃣ จากสถิติพบว่าการปรับฐานมากกว่า 5% มักตามมาด้วยการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นรอบใหม่
1
ถ้าเราดูใน (รูปที่ 4) จะเป็นตารางแสดงค่าสถิติของดัชนี S&P500 ทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงมากกว่า 5% ตั้งแต่ปี 2009 ค่ะ เราจะเห็นจุดที่น่าสนใจคือ “จำนวนวันจนถึงการปรับฐานครั้งต่อไป” กับ “ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุด”
ไปดูกันที่ “จำนวนวันจนถึงการปรับฐานครั้งต่อไป” กันก่อนค่ะ เราจะพบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว กว่าจะมีการปรับฐานครั้งถัดไป จะกินเวลาอยู่ที่ประมาณ 145 วัน หรือประมาณ 4 เดือนกว่าๆเลยทีเดียวค่ะ ขณะที่ถ้าเราไปดูการ “ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุด” เราจะพบว่าตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นเฉลี่ยๆแล้วอยู่ที่ 19.5% ซึ่งสะท้อนว่าจังหวะที่ตลาดปรับฐานเกิน 5% เป็นโอกาสเข้าซื้อที่ดีนั่นเองค่ะ
7
🎯 ดังนั้นถ้าเราเอาสถิติมาประกอบกับเหตุผลในข้อ 1 และ 2 เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสที่จะทำ All Time High ไปต่อได้เรื่อยๆนั่นเองค่ะ สำหรับใครที่มีหุ้นสหรัฐฯอยู่ยังคงแนะนำ Let Profit Run ต่อไป
1
ส่วนใครที่ยังไม่มี และรอซื้ออยู่ อาจจะต้องกัดฟันซื้อแล้วค่ะ เพราะการปรับฐานใหญ่ๆครั้งถัดไปอาจจะไม่มาเร็วๆนี้ และถ้ามัวแต่รอก็จะมีแต่เสียโอกาสไปเรื่อยๆนั่นเองค่ะ
⚠️ ส่วนตัวชอบหุ้นสหรัฐฯ Large Cap นะคะ และค่อนข้างชอบหุ้นกลุ่มเติบโต โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ และยังไม่ชอบหุ้นขนาดกลางกับเล็กค่ะ
Source: Bloomberg
โฆษณา