19 พ.ค. เวลา 05:20 • ความคิดเห็น
ฮั่นแน่ 😂 เรื่องนี้ช่างน่าสนเทศ และมีความอัศจรรย์ในตัวนะครับ แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนุก น่าคิด น่าอ่าน น่าฟัง น่าคุย นะครับ
เร่เข้ามาเลยจ้า พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย
The god enel มาแล้ว จะมาเล่าเรื่องสนุกให้พ่อแม่พี่น้องฟัง เร่เข้ามา เร่เข้ามา แหะๆๆ😂 ขอค่าอ่านเป็นเบียร์ขวดนึงนะครับ🍺
เคยอ่าน พระพาหิยะรุจีริยเถระ บ้างไหมครับ
พาหิยะ เกิดในครอบครัวตระกูลชั้นสูง ครั้งหนึ่งได้เคยลงเรือเพื่อไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ แต่เรือเกิดอับปางกลางทะเล ทำให้หมดเนื้อหมดตัว แต่รอดชีวิตมาได้ ต่อมาได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมวิธีปฏิบัติต่ออารมณ์ที่รับรู้ทางอายตนะทั้งหก พอจบพระธรรมเทศนาอย่างย่อ พระพาหิยะก็บรรลุพระอรหัตตผล แต่ไม่ทันได้อุปสมบท ในขณะที่เที่ยวหาบาตรจีวร ก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดเสียชีวิต พระพาหิยะรุจีริยเถระได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางตรัสรู้เฉียบพลัน
2
เรื่องราวของพาหิยะเป็นเรื่องเล่าสุดคลาสสิคเรื่องนึง ที่ถูกเล่าถึงบ่อยมากๆ เพราะมีนัยยะสำคัญเกี่ยวกับสภาวะพระอรหันต์ กับการออกบวช เอาไว้ตรวจสอบพวกชอบหลอกชาวบ้าน ที่ครองเรือนเป็นฆราวาส แต่ดันอุตริเที่ยวบอกใครๆว่าตนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ (ทั้งๆที่ กิน ขี้ ปี้ นอน ครบ )
4
ที่ท่านตายเพราะถูกควายขวิด หลังจากบรรลุธรรมแล้วไม่ได้บวช ด้วยอกุศลกรรมบางอย่างส่งผลทำให้ท่านต้องตาย
1
ก่อนที่ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านได้รอดชีวิตจากเรือที่อับปางกลางทะเล ท่านไปถึงท่าเรือด้วยร่างกายเปลือยเปล่า เนื่องจากเสื้อผ้าหลุดหายไปหมดสิ้น บริเวณท่าเรือเป็นถิ่นเจริญ มีคนอยู่หนาแน่น ท่านรู้สึกเหนื่อยและหิว แต่รู้สึกอายที่จะเปลือยกายเข้าไปในชุมชนนั้น ท่านจึงตัดสินใจเอาเปลือกไม้พันตัวแทน แล้วถือกระเบื้อง จากนั้นจึงแสร้งเดินไปใกล้ศาลเทพารักษ์ แล้วทำทีเป็นเดินออกจากศาลเข้าไปในชุมชน
1
ตอนนั้นชาวท่าเรือได้รับข่าวคราวต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของพระอรหันต์ ว่าอยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ได้ยินเป็นประจำ เมื่อพาหิยะปรากฏตัวในลักษณะแปลกกว่าคนอื่น คือนุ่งห่มเปลือกไม้ ต่างก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงได้ให้อาหารและยกย่องนับถือ ทำให้ท่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
1
ต่อมาพาหิยะเอง ก็สำคัญผิดไปว่า พฤติกรรมของท่านที่เป็นอยู่ คือพฤติกรรมของพระอรหันต์ ดังนั้นเมื่อเปลือกไม้แห้งเหี่ยว ก็ไม่ยอมนุ่งห้มผ้าอื่น ด้วยเกรงว่าความเป็นพระอรหันต์จะเสื่อมและลาภสักการะก็จะน้อยลง
1
ด้วยเหตุที่ท่านนุ่งห่มเปลือกไม้ ท่านจึงมีชื่อว่า "พาหิยะทารุจิริยะ" แปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม
ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างนี้ จนวันหนึ่ง ท่านได้รับข่าวว่า บัดนี้มีพระอรหันต์ที่แท้จริงอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์คือพระพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล
2
เมืองสาวัตถี ไกลจากชนบทที่พาหิยะอาศัยอยู่ประมาณ 120 โยชน์ (1,920กิโลเมตร) พระพาหิยะทันทีที่ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วเท่านั้น ท่านก็เกิดปีติอย่างแรงกล้า รีบเดินทางจากท่าเรือด้วยอาการรีบร้อน
เช้าวันหนึ่ง เมื่อมาถึงเมืองสาวัตถี ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมืองพอดี พาหิยะที่ได้เข้าไปในวัดเชตวันและได้ทราบจากพระในวัดว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง จึงรีบลาจากพระในวัด แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมืองสาวัตถีทันที
1
เหตุที่ท่านรีบร้อนเช่นนี้ ก็เพราะไม่มั่นใจว่า ชีวิตของท่านหรือของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้นานเพียงไร ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้ท่านอาจตายหรือพระพุทธเจ้าอาจปรินิพพานก็ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็คงจะพลาดโอกาสจากการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ด้วยความคิดดังกล่าวทำให้ท่านรีบออกตามหาพระพุทธเจ้าไปทั่วเมืองสารวัตถี
2
จนในที่สุดก็มาพบขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินอยู่กลางถนน ทันทีที่เห็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดปีติท่วมท้น ถลาเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า พลางทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง
"พาหิยะ" พระพุทธเจ้าตรัสห้าม "เวลานี้มิใช่เวลาแสดงธรรม เห็นไหมตถาคตกำลังบิณฑบาตอยู่กลางถนน"
2
พระพาหิยะหยุดระยะนิดนึง ครั้นแล้วก็ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงให้ฟังอีกเป็นครั้งที่ 2 พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม ครั้นแล้วท่านก็ทูลขอเป็นครั้งที่ 3 พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ท่านมีอุปนิสัยสมควรฟังธรรมได้ จึงตรัสว่า
1
"พาหิยะ เธอควรศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึก ก็สักแต่ว่ารู้สึก"
พระพาหิยะพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่านได้บรรลุอรหัตผลทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบ จากนั้นจึงทูลขอบวช แต่ด้วยเหตุที่ท่านไม่เคยสร้างบุญด้วยบาตรและจีวรมาเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงรับสั่งให้ท่านไปหาบาตรและจีวรมาก่อน ท่านก็ทำตาม ขณะที่กำลังแสวงหาบาตรและจีวรอยู่ ท่านก็ถูกแม่วัวขวิดตายเสียก่อน ท่านจึงนิพพานโดยท่านยังมิทันได้บวช
2
ท่านได้บรรลุอรหัตผลก่อนแล้ว จึงทูลขอบวชโดยได้ฟังธรรมการรู้ทันขณะเห็นรูป ได้ยิน ดมกลิ่น ลิ้มรส สิ่งสัมผัสทางกาย และนึกคิดอารมณ์ที่เคยได้รับรู้มาแล้วซึ่งเรียกว่า "รู้ทันวิญญาณ 6" ท่านบรรลุอรหัตผลได้เร็ว แต่การที่พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขต้องให้ท่านทูลขอฟังธรรมถึง 3 ครั้ง ก็เพราะทรงเห็นว่าท่านเดินทางมาไกล ร่างกายอ่อนเพลีย สภาพจิตยังไม่พร้อม เพราะเกิดปีติมากเกินไป พระองค์จึงทรงประวิงเวลารอให้สภาพร่างกายและจิตใจพร้อมเสียก่อน จึงทรงแสดงธรรม ซึ่งก็ได้ผล คือ เมื่อฟังธรรมจบแล้ว ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลทันที
3
หลังจากบรรลุอรหัตผลได้ไม่ถึงวัน ก็นิพพานโดยถูกแม่วัวขวิดตาย ทั้งนี้ด้วยเป็นเพราะบาปกรรมเก่าในอดีตชาติตามมาให้ผล กรรมเก่านั้น คือ ท่านร่วมกับเพื่อนลวงโสเภณีนางหนึ่งไปฆ่าชิงทรัพย์ เรื่องมีอยู่ว่า ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นลูกเศรษฐี วันหนึ่งได้ร่วมกับพวกอีก 3 คน ว่าจ้างโสเภณีนางหนึ่งไปหาความสุขสำราญกันในสวน ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจด้วยราคา 1000 กหาปณะ ตกเย็นครั้นจ่ายค่าตัวให้นาง แล้วรู้สึกเสียดาย จึงวางแผนฆ่านางทิ้ง แล้วชิงเอาเงินคืน พร้อมทั้งปลดเอาเครื่องประดับในตัวนางไปด้วย
1
ฝ่ายโสเภณีเมื่อรู้ว่าจะถูกฆ่าแน่ ทั้งที่ตัวเองไม่มีความผิด ก็อ้อนวอนขอชีวิต แต่ก็ไร้ผล ก่อนจะสิ้นชีวิตนางได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้ฆ่าคนเหล่านั้นเป็นการแก้แค้นบ้างในชาติหน้า แรงอาฆาตทำให้นางไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายพระพาหิยะและเพื่อนอีก 3 คนนั้น เวียนว่ายตายเกิดและตกนรกเพราะกรรมนั้นส่งผล
1
แล้วมาในชาตินี้ พระพาหิยะก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นางยักษิณีอดีตโสเภณีจึงได้แปลงเป็นแม่โคมาขวิดตายหมดทุกคน โดยเพื่อนของท่าน 3 คน คือ พระปุกกุสาติ (พระเจ้าปุกกุสาติแห่งแคว้นคันธาระ) เพชฌฆาตตัมพทาฐิกะ (โจรเคราแดง) และ สุปปพุทธกุฏฐิ (ชายขอทานขี้เรื้อน)
2
หลังจากพระพาหิยะถูกแม่โคขวิดตายแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบ ทรงรับสั่งให้พระช่วยกันเผาศพท่าน แล้วนำอัฐิไปบรรจุไว้ในเจดีย์ตรงทาง 4 แยก เพื่อให้คนได้บูชาและน้อมนึกถึงเป็นเครื่องเตือนใจ อันเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ได้สังฆานุสติ
1
เรื่องราวของพาหิยะทั้งหมดนี้ ผมไม่แน่ใจนะครับว่าเป็นเรื่องจริงไหม มีอยู่ในพุทธวจนในพระไตรปิฎกหรือเปล่า ผมเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นทีหลังน่ะครับ ไม่แน่ใจต้องขอโทษด้วยครับ
1
แต่มันมีมุมมองที่น่าคิดอยู่นะครับ
1
เราลองนึกถึงหลักความเป็นจริงดูสิครับ โดยที่เราอย่าโลกสวยเกินไปนะครับ
1
ไม่ต้องถึงขนาดเป็นพระอรหันต์ก็ได้ครับ แค่คุณลองถือศีล 5 อย่างเคร่งครัดโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
1
แล้วลองใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงในที่ทำงานดูครับ มันเป็นเรื่องที่ยากมากนะครับ โดยเฉพาะการไม่โกหกเนี่ย คุณคิดว่าคุณจะอยู่รอดในองค์กรที่มีการแข่งขัน บนความปลิ้นปล้อนกะล่อนตอแหลได้อย่างปกติสุขไหมครับ นี่ยังไม่นับอุโบสถศีล ศีล 8 ข้อ ศีล 10 ข้อ หรือกรรมบถ 10 อีกนะครับ
2
เมื่อสังคมโลกมนุษย์ใช้คำว่า "อยู่เป็น"
คือคำที่สกปรกที่สุด แล้วคุณคิดว่าผู้ที่เป็นอริยบุคคล อย่างอรหันต์ ผู้ปราศจากไปจากกิเลสทั้งปวงแล้ว คิดว่าสังคมฆราวาสจะสามารถรองรับอัตภาพความยิ่งใหญ่ของความเป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่ครับ
1
เอาแค่อริยบุคคลขั้นต้นโสดาบัน ชีวิตในโลกข้างนอก ก็ตัดความเป็นผู้เจริญและประสบความสำเร็จในด้านสังคมไปแล้ว 50% นะครับ
3
แต่นี่เล่นเป็นพระอรหันต์เลย ผู้ปราศจากไปจากตัณหาอุปาทานความยึดมั่น พูดจาเป็นธรรมหมดทุกอย่าง พูดจริงหมด คุณคิดว่าหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานที่มีกิเลสตัณหาเพียบ จะสามารถอาศัยอยู่ร่วมกัน แล้วคุยกับพระอรหันต์ด่าพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์เป็นผู้ที่มีเมตตาไม่อยากให้ปุถุชนเป็นบาปไปด้วย ท่านจะมีชีวิตอยู่ในโลกสังคมโดยไม่อุปสมบทได้อย่างไรครับ
2
คำถามที่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วต้องตายภายใน 7 วันถ้าไม่ได้บวช มันไม่เชิงตายหรอกครับ แต่มันจะเกิดภาวะวิกฤต เพราะโลกข้างนอกไม่สามารถรองรับความยิ่งใหญ่ของความเป็นอรหันต์ได้นานครับ อาจจะไม่ตาย แต่จะส่งผลเป็นโดมิโน่ไปให้สิ่งมีชีวิตอื่นเป็นบาปไปด้วยครับ เพราะพระอรหันต์เองก็สามารถทำงานผิดพลาดได้เหมือนกันนะครับ มีสิทธิ์โดนหัวหน้าด่าได้เหมือนกันนะครับ แล้วการด่าพระอรหันต์เนี่ย นั่นคือ"นรก"มายืนรอแล้ว นะครับ
3
เมื่อเห็นหมาวิ่งไล่กัด หรือควายเข้ามาขวิด พระอรหันต์ ผู้ไกลจากกิเลส รู้ซึ้งถึงกรรมทั้งหลาย ก็คงไม่วิ่งหนี เหตุทั้งหลายเกิดขึ้นย่อมมีผลกรรมตามมา พระอรหันต์ย่อมให้เป็นไปตามกรรมนั้น ไม่ยอมวิ่งหนี จนถึงชีวิตในที่สุด ก็คงจะเป็นประมาณนี้อ่ะครับ
2
จิตของพระอรหันต์ต้องอยู่ในจีวรครับ เหมาะแก่การรองรับของความเป็นอรหันต์ ต้องมีบารมีของพระพุทธเจ้ารองรับไว้ เป็นเนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ควรอยู่ในผ้าเหลืองครับ
3
ถ้าเป็นโสดาบัน สกทาคามี สามารถอยู่ในเพศฆราวาสได้ตราบจนสิ้นอายุขัยครับ
1
โฆษณา