19 พ.ค. เวลา 07:00 • ธุรกิจ
เฮมพ์ฮับ ฟาร์ม

Inside กัญชาไทย ฉบับคนทำธุรกิจ

จากนักลงทุนในตลาดหลักทรพย์ (Full time trader) สู่การทำธุรกิจกัญชง/กัญชา วันนี้ผมมาเขียนเล่าให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ
ผมเริ่มต้นคิดทำธุรกิจกัญชง-กัญชา โดยเริ่มจากสนใจธุรกิจนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการปลดล็อค-ปลดล็อค-หลังปลดล็อค จนวันนี้จะกลับไปล็อคเป็นยาเสพติดอีกรอบรึเปล่า? ก็ยังไม่มีใครตอบได้
เทรนหุ้นกลุ่มกัญชง-กัญชา ในตอนนั้น จาก Bloomberg, SCBS
ไปไงมาไง…มันเริ่มต้นแบบนี้ครับ ย้อนไปเมื่อต้นปี 64 ก่อนที่โควิดจะระบาด ถ้าจำกันได้ใครเทรดในตลาดหลักทรัพย์ช่วงนั้น หุ้นตัวไหนหรือบริษัทใด ที่เล่นข่าวว่าจะมาลงธุรกิจกัญชง หุ้นจะมีการเด้งรับข่าวทันที ผมเลยจำต้องศึกษาข้อมูล โดยศึกษาธุรกิจตั้งแต่ปัจจัยพื้นฐาน ดูกราฟดูเทรนตลาดจากประเทศที่เขาเปิดหรือใช้ไปก่อนประเทศไทยว่าเป็นอย่างไร มูลค่าตลาดของทั้งโลกเท่าไหร่ ศึกษาข้อดีและข้อเสีย ทิศทางแนวโน้มต่างๆ สรุปรวมๆ ได้ว่า ธุรกิจมันมีความน่าสนใจ บนความเสี่ยงเรื่องกฎหมายและการขออนุญาตในขณะนั้น
ตอนนั้นทุกโบรกมีทำสรุปออกมาอย่างสม่ำเสมอ
ณ ตอนนั้นผมคิดรูปแบบที่รัฐบาลกำลังจะทำอยู่นี้ มันแอบคล้ายธุรกิจพลังงานไฟฟ้า (โซล่าฟาร์ม) ใหม่ๆ ยังไงยังงั้น ผมขอเล่าย้อนเรื่องนี้ให้เห็นภาพนิดนึงนะครับ รูปแบบคือ รัฐบาลให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี (พ.ศ.2555-2564) หรือ Alternative Energy Development Plan : AEDP (2012-2021)
เพื่อใช้กำหนดกรอบและทิศทางการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ โดยรัฐบาลขายภาพให้ประชาชนสามารถขายไฟฟ้าคืนรัฐได้ แล้วต่อมาก็อย่างที่เห็น บริษัทต่างๆ ในตอนนั้นใครลงมาเล่นเกมส์นี้ก็ได้กลายมาเป็นบริษัทใหญ่ๆ เติบโตแบบรวดเร็วในปัจจุบัน
ส่วนกัญชง/กัญชา เดิมทีก็มารูปแบบคล้ายๆ กัน มีการโปรโมทกัญชาเสรีให้ประชาชนปลูกได้ใช้ได้ และสามารถเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ จนในที่สุดด้วยเทรนโลกรัฐบาลก็สามารถปลดล็อคกัญชาเสรีได้สำเร็จ แต่สุดท้ายยังคงต้องตามดูกันต่อไปว่าจะไปต่อทิศทางไหน จะไปเหมือนหรือแตกต่างรูปแบบเดิมหรือไม่อย่างไร
กลับมาเรื่องกัญชาต่อ ต้นปี 64 ผมใช้เวลาคิดตัดสินใจอยู่ 1 สัปดาห์ ว่าจะลงมาธุรกิจนี้ดีมั้ย เพราะต้องเตรียมตัวทำแผนธุรกิจให้เสร็จก่อนวันที่รัฐบาลจะเริ่มให้ขอใบอนุญาตปลูกแบบถูกกฎหมายไ้ด้ (29 ม.ค. 64) ซึ่งตอนนั้นยังถือว่าเป็นยาเสพติดอยู่ ใครจะปลูกต้องมีใบอนุญาตเท่านั้นครับ
ต้นเดือน ก.พ. ผมจัดตั้งบริษัท โดยตั้งใจว่าเราจะเป็นศูนย์รวมของธุรกิจกันชง หลังจากนั้นก็เริ่มลุยแบบจริงจัง ตั้งแต่เตรียมสถานที่เพื่อขอใบอนุญาต ต้องมีรั้วรอบ กล้องวงจรต้องมี คนเข้า-คนออกต้องบันทึก ไม่นับรวมการขอตรวจประวัติอาชญกรรม เตรียมเอกสารต่างๆ ที่ต้องใช้ประกอบให้คณะกรรมการพิจารณา เรียกว่าใครคิดจะปลูกมันไม่ใช่จะสามารถปลูกกันได้แบบง่ายๆ อย่างทุกวันนี้ครับ ยากกว่าการปลูกก็น่าจะเรื่องการขอใบอนุญาตนี่แหละ
ได้รับใบอนุญาต ยส.5 แรกๆ
แต่สุดท้ายบริษัทก็ได้รับใบอนุญาต โดยได้รับใบอนุญาต 3 ประเภท คือ นำเข้า, ปลูก และจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไล่ๆ กันออกมา ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 64 ไม่นับรวมมาตราฐานการเกษตรและใบอนุญาตต่างๆ จากกรมวิชาการเกษตรที่ออกตามมาต่อไป ซึ่งถือว่ายังทันขบวน เพราะน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับใบอนุญาต
แต่พอมาเริ่มปลูกจริงมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย เพราะที่ได้ยินมาเขาบอกกันมันเป็นพืชบ้านเราโยนๆ ก็ขึ้นแล้ว ร้อยทั้งร้อยไอ้คนที่บอกแบบนี้ คือ คนที่ไม่ได้ปลูกแบบจริงจังแถมเดาว่าเป็นสายพันธุ์ไทยอีกต่างหาก เรื่องจริงคือ มันปลูกโครตยาก เพราะเป็นพืชที่ Sensitive และต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ต้องใช้ความเข้าใจสูง ยิ่งถ้าปลูกสายพันธุ์ต่างประเทศด้วยแล้ว ยากขึ้นไปอีกขึ้น นึกภาพเราเอาเด็กต่างชาติที่เคยอยู่อากาศหนาวๆ มาเลี้ยงที่ไทย จำต้องปรับให้เหมาะสม ทั้งยังต้องเซ็ตระบบสมาร์ทฟาร์มช่วยในการควบคุมให้ลงตัว
ตอนนั้นผมใช้วิธีต้องปลูกไปทดลองไป ความรู้การเกษตรก็ไม่มี ยิ่งกัญชาไม่ต้องพูดถึง มันเป็นเรื่องใหม่ของบ้านเราในเวลานั้น ดีที่พอมีความรู้จากต่างประเทศให้ศึกษา แต่ก็นำมาใช้ไม่ได้ทั้งหมดเพราะปัจจัยมันต่างกันต้องนำมาปรับใช้เอา และเรียนเพิ่มกันไป แต่ก็ยังดีได้คนที่มีประสบการณ์ในการปลูกใต้ดินมาช่วยบอกช่วยสอน รวมๆ จึงพอเอาตัวรอดในเรื่องการปลูกได้ จากวันแรกที่ทดลองปลูก 300 ต้น แล้วปรากฎตายเรียบ
ผู้ประกอบการศึกษาดูงานที่ ม.เกษตร กับทางกระทรวงอุตสาหกรรม
พอวิชาเริ่มแกร่งกล้า ทีนี้ก็เริ่มสอนคนที่อยากปลูกอยากเข้ามาในธุรกิจนี้ วิธีการขอใบอนุญาตต่างๆ นานา ไปตามเรื่องตามราว ซึ่ง ณ ตอนนั้นมีคน, มีวิสาหกิจชุมชน, บริษัทฯ มาเซ็นต์ MOU กับบริษัทผมรวมๆ ร่วม 20 ราย เพราะรัฐกำหนดต้องมีต้นทาง คือแหล่งที่มาของเมล็ดและปลายทาง คือคนรับซื้อ ซึ่งเราเป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีใบอนุญาตครบ ถ้านับพื้นที่ปลูกมารวมกันก็เกิน 300 ไร่ อยู่ครับ
บรรยากาศสบายๆ ในคลาสเรียน
แต่ช่วงนั้นตลาดมันก็ยังไม่ได้บูมอะไรมากมาย เพราะมันสามารถขายได้แค่กับคนที่มีใบอนุญาตด้วยกันเองเท่านั้น ความต้องการจึงยังจำกัด ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำก็ยังไม่ออก ที่มาพีคสุดๆ ก็น่าจะเป็นหลังจากที่มีการปลดล็อคกัญชาจากยาเสพติด ในวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ไม่นาน ซึ่งราคาช่อดอกมีการปรับขึ้นไป 60,000-300,000 บ. ต่อกิโลกรัม ตามคุณภาพเกรดกันเลยทีเดียว ยังไม่นับรวมกับการขายต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์อีก ที่ทุกคนกำลังอยากรู้อยากลองในเรื่องที่ถูกห้ามมานานเสมือนกล่องแพนโดร่าได้ถูกเปิดออก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตอนนั้นสินค้ามันก็มีจำนวนจำกัด มันไม่สามารถโตได้ภายในไม่กี่วันตามที่ใจต้องการ ซึ่งตามปกติหนึ่งคร็อปการปลูกมันใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ลองคิดดูแล้วกันครับ กว่าจะปลูกเป็นกว่าจะได้ผลผลิต เอาจริงๆ มันเพิ่งไม่กี่เดือนก่อนปลดล็อคเอง จะเอาที่ไหนไปเตรียมสต็อก แม้จะรู้กอ่นอยู่แล้วว่าจะมีการปลดล็อกและพยายามเตรียมไว้แล้วก็ตามที
ต้นกัญชาที่เตรียมไว้ก่อนที่จะถึงวันปลดล็อค
ก็ต้องยอมรับตรงๆ ผมแปลกใจและไม่เคยคิดว่ารัฐบาลจะปล่อยให้กัญชาอิสระเสรีโดยไม่มีกฎหมายใดๆ มาควบคุมแบบนี้ ซึ่งผมไม่นับรวมกฎกระทรวงที่พยายามออกมาคุมที่หลัง ชนิดแค่แอคชั่นเพื่อให้ประชาชนเห็นว่า ฉันรู้ปัญหานะฉันพยายามแก้อยู่ แต่เอาตรงๆ จากคนทำธุรกิจ มันไม่ช่วยใดๆ แถมใช้ไม่ได้จริง บางสิ่งเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการด้วยซ้ำไป
เรื่องกฎหมายนี่ จริงๆ ที่ถูกต้องมันควรเป็นไปตามลำดับทีละขั้นทีละตอน โดยเริ่มจาก สภาอนุมัติผ่าน พรบ. กัญชา/กัญชง ให้เรียบร้อย ระหว่างที่รอ พรบ มีผลบังคับใช้ ก็นำเรื่องเข้าคณะกรรมการยาเสพติด นำชื่อออกจากบัญชียาเสพติด (ปลดแบบที่เป็นตอนนี้) ส่วนไหนขาด ส่วนไหนต้องเพิ่ม กระทรวงสาธารณสุขก็ออกกฎกระทรวงเพิ่มเติมตามมาที่หลัง แบบนี้จึงจะไม่เกิดปัญหาตามมาอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ชนิดไม่มีการวางแผนหรือแบบแผนใดๆ เลย จะเรียกว่า ไม่มีการวางแผนก็คงไม่ได้ ที่ถูกต้องคงต้องเรียกว่า “ผิดแผน”มากกว่า
เรื่องนี้ต้องบอกว่าทาง “พรรคภูมิใจไทย” พลาดครับ ที่คิดว่าสภาจะยกมือผ่าน พรบ.กัญชา ได้ทันก่อนที่จะถึงวันปลดล็อคซึ่งมีระยะเวลา 90 วัน หลังประกาศ แต่เจอเกมส์การเมืองจากพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไป ที่วันนี้คุณอนุทินยังให้สัภาษณ์บ่นว่า “โดนหักหลัง “อยู่เลย ซึ่งมันเป็นเกมส์การเมืองล้วนๆ ณ ตอนนั้นพรรคอื่นเขาจะปล่อยให้ภูมิใจไทยมีผลงานเอาไปเคลมหาเสียงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จัดการเตะสกัดนโยบาลหลักไปก่อนดีที่สุด ประชาชนไว้ค่อยมาว่ากันที่หลัง
คุณอนุทินกล่าว “เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้”
แต่พรรคภูมิใจไทยเองก็ต้องยอมรับว่าพลาดที่รีบร้อนผลงานจนเกินไป กะรวบรัดเพื่อนำไปใช้ในการหาเสียงอย่างเต็มที่ จนสุดท้ายได้แต่พูดอ้อมๆ เบาๆ ว่า พูดแล้วทำ ให้คนไปรีมายคิดเอาว่าเรื่องอะไร ไม่กล้าตะโกนดังๆ แบบที่อยากให้เป็น ตามผลลัพท์ที่เห็น ที่ผมสามารถพูดแบบนี้ เพราะคุณอนุทินเป็นคนให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสื่อต่างประเทศอย่าง ABC News เองถึงเรื่องดังกล่าว (ดูคลิปเต็มได้ที่ลิงค์)
เบื้องลึกในช่วงที่มีการเปิดให้ขออนุญาต ต้องบอกมีคนที่โดนกลุ่มมิจฉาชีพหลอกกันเยอะมากๆ ทั้งมาในรูปแบบการนำเมล็ดไม่มีคุณภาพมาขายในราคาแพง หลอกให้ลงทุนขายฝัน โดยใช้ชื่อบริษัทเบียร์ต่างชาติสีเขียวว่าจะมารับซื้อ หลอกให้ระดมทุนรวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน หลากหลายรูปแบบที่จะใช้หลอกได้ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เท่ากับที่การโดนรัฐบาลหลอก
ทำไมผมถึงบอกแบบนั้น เพราะคนที่มีใบอนุญาตตั้งแต่แรก ที่ทำ MOU กับบริษัทผม เลิกกิจการกันไปเกินครึ่งแล้ว ลองนึกภาพดูนะครับ เกษตรกรหรือคนเหล่านั้นต่างยอมลงทุนตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่รัฐบาลเป็นคนกำหนดว่าต้องมีโน่นมีนี่ เพื่อให้ปลอดภัยและได้รับใบอนุญาตปลูกอย่างถูกต้อง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่กำหนดล้วนแต่เป็นต้นทุนทั้งนั้น
คิดง่ายๆ อยู่มาดีๆ วันหนึ่ง เมื่อ พรบ ไม่ผ่าน แต่กัญชานั้นเสรีล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แถมไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ออกมาควบคุมแบบต่างประเทศที่เขาเสรีแต่เป็นเสรีในกรอบ ทั้งเรื่องปริมาณ หรือพื้นที่ปลูก อายุคนเข้าถึง บ้านเราใครใคร่ค้าๆ ใครใคร่ขายๆ ใครใคร่ปลูกๆ เสรีของแทร่ ไม่มีจำกัดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังตึกกันเลยทีเดียว
เดี๋ยวๆ…ถ้าจำไม่ผิด วันก่อนยังเป็นยาเสพติดอยู่เลยนะ กฎกระทรวงที่ออกมา หรือ พรบ.สมุนไพร ก็แค่กลับแกล้มโยงมาไว้แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ทุกอย่างมันเลยเป็นอย่างที่เห็นครับ
กรอบเวลาการแก้ไขกฎหมายกัญชา
ตอนนี้มีการทำงานหลักๆ มี 4 ทาง ที่ทำงานควบคู่กันไป
1. ทำการแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยื่นคณะกรรมการยาเสพติด เพื่อระบุชื่อ กัญชา กลับไปเป็นยาเสพติดตามเดิม
2. ออกกฎกระทรวงเรื่องการขออนุญาตกัญชา กัญชง
3. จัดทำประกาศกระทรวงสาธารณสุข แนวทางการใช้กัญชาทางการแพทย์
4. คณะกรรมาธิการยื่นเสนอ พรบ. กัญชา ต่อสภา เมื่อเปิดสมัยประชุมสภา
แต่ไม่ว่าจะออกมาทางใด กลับไปเป็นยาเสพติดตามเดิม หรือที่ประชุมสภาสามารถผ่าน พรบ. กัญชา ก็ตามที กัญชาก็จะไม่อิสระเสรีแบบทุกวันนี้อย่างแน่นอน ซึ่งคนที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ก็ควรที่จะเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงไว้แต่เนิ่นๆ
กระทบใครบ้างหากกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
แต่ถ้าถามผม ในฐานะคนที่ทำธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ส่วนตัวไม่สนับสนุนกัญชาเสรีอย่างที่เป็นอยู่แบบปัจจุบัน แต่ด้วยเป็นคนทำธุรกิจก็ไม่อยากให้กลับไปเป็นยาเสพติดเช่นกัน แต่อยากให้มี พรบ. ออกมาควบคุมแบบจริงๆ จังๆ เพื่อให้ทุกคนเล่นตามกฎ แบบที่นานาประเทศเขาทำกัน คือ ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงแต่ต้องอยู่ภายในกรอบที่กำหนด
ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคนที่ได้ประโยชน์เรื่องนี้ คือ คนที่ทำอยู่ใต้ดิน เพราะเป็นผู้เล่นรายเก่า มีประสบการณ์ ปลูกมาก่อน ภาระต้นทุนต่ำกว่า แถมนำของที่อยู่ในมือออกมาขายบนดินได้แบบถูกต้องเสรีในช่วงที่ทุกคนมีความต้องการ เรียกว่า ถูกหวยดีๆ นี่เอง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่เท่ากับคนที่แอบลักลอบนำเข้ามา พวกนี้ได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะเมื่อความผิดไม่ใช่ยาเสพติดความรุนแรงของโทษจึงต่างกันเยอะ คุ้มค่ากับราคาแถมมีตลาดในมืออยู่แล้ว เรียกว่า แจ็คพ็อตแตก ตลาดกัญชาถึงกับพังไปช่วงหนึ่งเพราะดอกนอกที่แอบนำเข้ามานี่แหละ
และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเห่อกันน้อยลง ตลาดในประเทศก็ต้องเริ่มน้อยตามกลไกตลาด แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะบ้านเราภาพมันเป็นเพื่อการสันทนาการไปแล้วกว่า 90% เรียกว่า Shop กัญชา เกิดมาแข่งกับสาขาเซเว่น แม้รัฐบาลจะบอก กัญชาเพื่อการแพทย์ ห้ามสันทนาการ แต่กฎหมายมันไปไม่ถึง อีกทั้งไม่มีหน่วยงานมาให้ความรู้ประชาชนถึงประโยชน์ในการใช้งานที่แท้จริง ให้มาคู่พร้อมๆ กับการปลดล็อค ทั้งๆ ที่มันมีด้านที่มีประโยชน์อยู่มากมายก็ตาม อาทิ
- สาร THC ช่วยลดอาการปวด คลายกล้ามเนื้อ ชักกระตุก ทำให้อยากอาหาร
- สาร CBD ช่วยลดเบาหวาน ยับยั้งแบคทีเรีย ซ่อมกระดูก ช่วยให้หลับลึก ลดการอักเสบ ทาแก้สิว ลดรอยดำ โรคสะเก็ดเงิน ข้ออักเสบรูมาตอยด์
แต่ถ้าจะเอาไปใช้ให้คนที่เป็นมะเร็ง ควรดูที่ชนิดมะเร็งประกอบ
THC 1 ส่วน: CBD 6 ส่วน ยับยั้งมะเร็งเต้านม, มะเร็งไต, มะเร็งตับ
THC 10 ส่วน: CBD 1 ส่วน มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งสมอง, มะเร็งตับอ่อน
THC 2 ส่วน: CBD 1 ส่วน ต้านเซลล์มะเร็งแบบไม่มีความจำเพาะ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลจาก : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
อีกทั้งการนำเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็น การสูบ, การกิน, การดร็อป, การทา ก็ล้วนแต่มีผลกับการรักษาโรคที่ต้องการเช่นกัน
แต่ผมยังเชื่อว่า คนทั่วไปส่วนใหญ่ เมื่อนึกถึงกัญชา ก็จะนึกถึงแต่การสูบกัญชาเป็นหลัก มีต้มไก่ทำกับข้าวบ้างเล็กน้อย ต้องยอมรับเรายังขาดชุดความรู้เพื่อประชาชนทั่วไปอยู่มาก และหน่วยงานต่างๆ ก็ไม่กล้าทำหน้าที่บอก เพราะกลัวสังคมจะมองว่า ไปสนับสนุนให้คนใช้กัญชา
นี่ผมยังไม่นับรวมการใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงรักษาโรคเท่านั้นนะครับ หรือแม้แต่สินค้า Consumer Product ที่มีส่วนผสมของกัญชง/กัญชา ที่มีมากมาย แต่ก็ไม่กล้าเอาสินค้าออกมาทำการตลาด สาเหตุหลักๆ น่าจะเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางกฎหมาย และความไม่เข้าใจในเรื่องกัญชา ซึ่งอย่างที่เห็นปัจจุบัน “กัญชา” ก็ยังคงถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของเกมส์การเมืองอยู่เลย แบบนี้แล้วจะให้ประชาชนพัฒนาต่อยอดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าตลาดทั่วโลกมันไปไกลและมหาศาลขนาดไหนก็ตาม
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว กัญชาก็ยังคงต้องกลายเป็นผู้ร้ายต่อไป เพราะคงไม่มีหน่วยงานไหนกล้าบอกว่า กัญชาเป็นพระเอก แต่จากความรู้ที่ผมศึกษามา ผมเห็นว่า "กัญชาเป็นพระเอก" แต่เป็นพระเอกที่ไม่ได้มีนิสัยดีแบบ 100% ถ้าเป็นคนอาจมีนิสัยชอบเอนเตอร์เทรนให้เพื่อนเมาด้วย แต่ยังก็คอยช่วยเหลือเป็นที่พึ่งได้อยู่ โดยถ้าใครชอบพระเอกแบบไม่มีพิษไม่มีภัย ใสๆ ลองหันมาดูพระเอกที่ชื่อ “กัญชง” ดูก็ดีนะครับ
สุดท้าย กัญชา/กัญชง ในประเทศจะเดินไปทิศทางไหน ก็ยังคงต้องตามดูกันต่อไปครับ ส่วนตัวผมทำแบบถูกต้องมีใบอนุญาตมาตั้งแต่เป็นยาเสพติด ก็ต้องปรับตัวไปตามกฎใหม่ซึ่งเราเคยผ่านกฎพวกนั้นมันมาแล้ว และก็วางแผนที่จะขายบริษัทเตรียมจะย้ายครอบครัวไปต่างประเทศด้วยซ้ำไป แต่สำหรับคนส่วนใหญ่…มันไม่ใช่ เขาเข้ามาตอนที่มันไม่มีกฎหมายควบคุมเป็นสูญญากาศ และคิดว่ามันคิอความหวังในการทำธุรกิจ ซึ่งอาจเอาเงินทั้งหมดมาลงทุนไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรปลูก หรือการเปิด Shop กัญชาก็ตามที แบบนั้นคงได้รับผลกระทบโดยตรงไม่มากก็น้อย
ไม่ว่ากัญชาจะออกมาทางไหน ยังไงก็ย่อมมีกลุ่มคนที่เสียประโยชน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมยังต้องการจากรัฐบาล คือ
ความชัดเจนและนึกถึงประชาชนเป็นหลัก อย่าใช้กัญชาเป็นตัวประกันเพื่อเดินเกมส์ทางการเมือง ถ้ามันมีทิศทางที่มีความชัดเจน ตามที่คณะทำงานคณะศึกษาต่างๆ ได้ทำการศึกษาไว้ ผมยังหวังว่าประเทศไทยจะสามารถส่งออกไปแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากต่างประเทศได้ แล้วทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ เมื่อนั้นแหละครับจึงจะเรียกได้ว่า เราได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
กันต์ธีร์ พงษ์สุวินัย
ส่วนใครอยากทราบรายละเอียดตรงไหนเพิ่มเติม ถามได้ยินดีมาตอบให้
ขอบคุณครับ
โฆษณา