Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
•
ติดตาม
21 พ.ค. เวลา 00:40 • การศึกษา
ศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI พระนครศรีอยุธยา
22 พฤษภาคม วันวิสาขบูชา วันระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราชาวพุทธทุกคนภูมิใจเถิดที่เกิดมาเป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง แล้วตั้งใจเอาวันวิสาขบูชาเป็นจุดเริ่มต้นของเราให้เราป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์แบบ..
ในมุมมองของนักสร้างบารมี เป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้วว่า วันวิสาขบูชา คือ วันที่เรามาระลึกนึกถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นวันที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือน ๖
อาตมาอยากจะฝากข้อคิดถึงความประเสริฐสูงส่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาของชาวพุทธ มองในแง่ ทั่วไปที่ชาวโลกแม้จะนับถือศาสนาอื่นก็สามารถไตร่ตรองแล้วยอมรับได้ว่า ประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นงดงามมาก
ปกติสิ่งที่ชาวโลกทั่วไปแสวงหา หลักๆ ก็คือ
๑. ทรัพย์สินเงินทอง
๒. หน้าที่การงาน เกียรติยศ การยอมรับจากสังคม
๓. ครอบครัวที่อบอุ่น ร่มเย็นเป็นสุข
ที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยอมเหนื่อยกันทั้งชาติ ก็เพราะต้องการไขว่คว้าหา ๓ สิ่งนี้ แต่ว่าทั้ง ๓ ประการนี้ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมีอยู่พร้อมแล้ว ในแง่ทรัพย์สินเงินทองก็บริบูรณ์พร้อมทุกอย่าง มีปราสาท ๓ ฤดู หน้าร้อนก็อยู่ปราสาทที่ทำให้เย็นสบาย หน้าหนาวก็อยู่ในปราสาทที่ทำให้อบอุ่น หน้าฝนก็อยู่ในปราสาทที่ สามารถชื่นชมทัศนียภาพรอบตัวได้อย่างดี คือ เหมาะเจาะ บริบูรณ์ทุกอย่าง
คนที่ป่วยไข้ไม่สบายไม่เคยเห็นเลย เห็นแต่คนหนุ่ม คนสาว ทุกอย่างมีแต่ความเจริญตาเจริญใจ ในเรื่องฐานะ การงาน การยอมรับจากสังคม พระองค์ก็เป็นรัชทายาท กำลังจะขึ้นครองราชย์ เกิดมาก็เป็นเจ้าชาย ซึ่งเป็นฐานะที่มั่นคง
ไม่ใช่ว่าครบ ๔ ปีก็ต้องมาเลือกตั้ง ในเรื่องของครอบครัว พระมเหสี คือ พระนางพิมพา ก็เป็นหญิงเบญจกัลยาณี งามทั้งกาย งามทั้งใจ จรรยามารยาท ศักดิ์ตระกูลทุกอย่างพร้อมหมด สิ่งที่ชาวโลกแสวงหา เจ้าชายสิทธัตถะมีพร้อมอยู่แล้ว แต่พระองค์ ทรงสละสิ่ง เหล่านี้ออกไป เพื่อไปหาสิ่งที่ประเสริฐสูงส่งกว่า คือ โมกขธรรม การตรัสรู้ธรรม
หลังจากพระองค์ตรัสรู้ธรรมแล้ว ก็ทรงเผยแผ่หลักธรรมมาตลอด ๔๕ พรรษา พระองค์ไม่เคย ใช้ความรุนแรง ในการแก้ปัญหาเลย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงสักเพียงใดเกิดขึ้นก็ตาม เช่น เมื่อพระสัมมา สัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
ก็เป็นเสมือนดวงตะวันที่ข่มแสงของหิ่งห้อยให้อับแสงลง นักบวชนอพระพุทธศาสนามีคนเลื่อมใสน้อยลง ทำให้เสื่อมจากลาภ ที่ตัวเองเคยมี นักบวชเหล่านั้นเสียลาภก็โกรธแค้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงวางแผนแกล้งพระพุทธองค์ ให้เสียชื่อเสียง ถึงขนาดใส่ร้ายป้ายสีว่าพระพุทธเจ้าทำให้ผู้หญิงท้องอย่างนางจิญจมาณวิกาก็มี ทำร้ายผู้หญิง ฆ่าหมกศพอย่าง นางสุนทรีก็มี สารพัดอย่าง แต่พระองค์ก็ทรงยึดหลักไม่สู้ ไม่หนี แต่ว่าทำความดีเรื่อยไป ทรงนึกถึงบุญบารมีที่พระองค์เคยทำมา สุดท้ายความจริงก็ปรากฏทุกครั้ง
บางครั้งไปบางเมือง ผู้มีอำนาจในเมืองนั้นจ้างให้คนรุมด่าพระองค์ทั้งเมือง เวลาทรงออกบิณฑบาต มีคนรุมด่า ๒ ข้างทาง จนพระอานนท์ทนไม่ไหว กราบทูลอาราธนาเสด็จไปเมืองอื่น พระพุทธเจ้าถามว่า แล้วถ้าไปเมืองอื่นมีคนเขาด่า อีกจะว่าอย่างไร พระอานนท์ก็กราบทูลว่า ไปเมืองอื่นต่อ พระพุทธเจ้าทรงห้ามว่า อย่าเลย เหตุเกิดที่ใดให้ดับที่นั่น พระองค์ ทรงนิ่งๆ เฉยๆ ทรงทำความดีเรื่อยไป สุดท้ายความจริงก็ปรากฏขึ้นมา และเป็นเครื่องเสริมพระพุทธคุณให้โดดเด่นเป็นสง่า ให้เกียรติคุณขจรขจายมากยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งหนึ่งพระเทวทัตวางแผนจะโค่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หวังจะเป็นใหญ่ จะเป็นศาสดาแทน วางแผนเข้าไปตีสนิท กับเจ้าชายอชาตศัตรู หวังจะอาศัยอำนาจทางโลกมาช่วยให้ตนยึดอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ได้ ไปหลอกจนพระเจ้าอชาตศัตรู เลื่อมใส แล้วก็ทำปิตุฆาต
คือ ฆ่าพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นพระราชบิดา แล้วขึ้นครองบัลลังก์แทน แล้วก็ใช้อำนาจของพระเจ้า อชาตศัตรู กลั่นแกล้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่าง มีอยู่คราวหนึ่งให้มอมเหล้าช้างนาฬาคิรีให้เมา แล้วก็ปล่อยออกมา หวังให้ แทงพระพุทธเจ้าให้ปรินิพพาน พอช้างนาฬาคิรีวิ่งเข้ามาใกล้ พระอานนท์ออกไปยืนขวางหน้า พระพุทธเจ้า ยอมตายก่อนจน พระพุทธ เจ้า ต้องเรียกกลับ แล้วก็ใช้กระแสพระเมตตาจนกระทั่งช้างนาฬาคิรีสยบ อยู่แทบพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง
เหตุการณ์จะวิกฤตเพียงใด ร้ายแรงเพียงไหน พระองค์ไม่เคยตอบโต้ด้วยความรุนแรง มีแต่ความสงบเย็นตลอดมาทั้ง ๔๕ พรรษา พระองค์ไม่เคยสอนชาวพุทธให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยความรุนแรงตลอด ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา กระแสแห่ง พุทธธรรมจึงเป็นประดุจธรรมธาราอันชุ่มเย็น ซึมซาบไปในใจของชาวโลกทั้งมวล ส่องสว่างนำทางชีวิตผู้คนทั้งหลาย
พระพุทธศาสนาไม่เคยมีสงครามศาสนา เคยมีนักบวชผู้เผยแผ่ศาสนาอื่นมาศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนา หวังจะมาจับผิด จะได้เอามาเป็นข้อโจมตี เปลี่ยนให้ชาวพุทธหันไปนับถือศาสนาของเขา แต่ด้วยความที่นักบวชท่านนี้เป็นคน ที่มีใจเป็นธรรมพอสมควร
เมื่อศึกษามากขึ้นกลับหาข้อติไม่เจอ เจอแต่ข้อที่ควรชื่นชม จนสุดท้ายท่านก็เปลี่ยนมาเป็นชาวพุทธ และกล่าวไว้ว่า เพียงพิจารณาจากความจริงที่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่ไม่เบียดเบียน
ข้อนี้เพียงประการเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ยังไม่ต้องกล่าวถึงหลักธรรมที่เลิศเลอประการอื่นใดทั้งสิ้น แล้วเขาก็ได้บำเพ็ญตนเป็นผู้ประกาศพระพุทธธรรมที่ขยันขันแข็ง เอาจริงเอาจัง ทุ่มเททั้งชีวิตตลอดมา นี้ก็คือสุนทรียภาพ ในพระบรมศาสดา ในธรรมะที่พระองค์ทรงสอนพวกเรา ให้พวกเราชาวพุทธทุกคนภูมิใจเถิด ที่เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ นับถือพระพุทธศาสนา มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง แล้วตั้งใจเอาวันวิสาขบูชาเป็นจุดเริ่มต้นของเรา ให้เราเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์แบบ
ถามว่าทำอย่างไรจะสมบูรณ์แบบ ให้ยึดหลักใหญ่ๆ ๒ ประการ
ประการแรก ก็คือ ตั้งใจใจปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สมกับความเมตตาของพระองค์ ที่อุตส่าห์สร้างบารมีมายาวนาน ทนทุกข์ทรมานทุกอย่าง ไม่ย่อท้อ เพื่อจะนำธรรมะมาสอนเรา โดยย่อ ๆ ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ทาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละทั้งชีวิต
ไม่ใช่แค่ภพสุดท้ายชาติเดียวเท่านั้น แต่ว่าตลอดการสร้างบารมี "ดวงตาทั้งสองที่ควักออกมาสละเป็นทานมากกว่าดวงดาวบนฟ้า เนื้อที่เฉือนออกเป็นทานรวมกันแล้วสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาพระสุเมรุ เลือดที่พระองค์สละเป็นทาน รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทร" พระองค์สละได้ทั้งชีวิต นับภพ นับชาติไม่ถ้วน ตัวเราแค่เพียงสละทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ เราต้องสละได้ ตั้งใจบำเพ็ญทานบารมี ตามแบบอย่างของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า
ศีล พระองค์ทรงเจอวิกฤตร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่ยอมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ด้วยความไม่ถูกต้อง เราเองก็เช่นเดียวกัน จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรม ไม่แก้ปัญหาด้วยการผิดศีลเด็ดขาด ไม่ว่าจะอยู่ในวิกฤตร้ายแรงเพียงใด ก็ตาม ยึดหลักของศีลให้มั่นคงอยู่ในใจของเรา แก้ปัญหาด้วยความถูกต้อง ด้วยความเมตตาเสมอ ไม่สู้ ไม่หนี แล้วก็เดินหน้า ทำแต่ความดีเรื่อยไป แม้บางครั้งจะต้องกล้ำกลืนน้ำตาแล้วเดินหน้าสร้างบารมี ก็ต้องทำ แต่ให้แก้ปัญหาด้วยความไม่ถูกต้อง ด้วยการผิดศีลผิดธรรม เราต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด
การเจริญสมาธิภาวนา ในวันสุดท้ายก่อนตรัสรู้ธรรม พระองค์ทรงนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์หญ้า ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ยามต้นทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ มีญาณหยั่งรู้ ระลึกชาติตัวเองได้ ยามสองทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ มีญาณหยั่งรู้เห็นการไปเกิดมาเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสามทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ทำกิเลสให้สิ้นไป ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันวิสาขบูชา
เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนต้องขยันนั่งสมาธิ เพราะกว่าพระองค์จะตรัสรู้แล้วพบวิธีการนำใจเข้ากลางของกลาง ไปตามเส้นทางสายกลาง ที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทานั้น เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เมื่อทรงรู้วิธีนี้และนำมาบอกกับเราแล้ว เราก็ต้องตั้งใจดำเนินจิตไปตามหนทางที่พระองค์ทรงแนะนำเอาไว้ ถ้าเราทำครบทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นการบูชาที่สูงสุด
นอกจากนี้ เรายังต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ช่วยแนะนำบุคคลรอบข้างที่เรารู้จัก ให้เขาได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ ถึงความประเสริฐของหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา แล้วให้เขาได้ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรม เป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ แบบเช่นเดียวกับเรา
นี้เป็นการดำเนินตามแบบอย่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นยอดกัลยาณมิตรของโลก ถ้าใครทำได้ทั้ง ๒ ส่วน ทั้งบำเพ็ญประโยชน์ตนด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา แล้วบำเพ็ญประโยชน์ท่าน คือ ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับ ชาวโลกด้วย ก็จะได้ชื่อว่าทำหน้าที่ชาวพุทธที่สมบูรณ์แล้ว
ตรงตามปัจฉิมโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมอบให้ใน วันปรินิพพานว่า ให้ชาวพุทธทุกๆ คน ตั้งใจดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท โดยบำเพ็ญประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม
1
เจริญพร
ข่าวรอบโลก
พุทธศาสนา
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
12
9
12
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย