21 พ.ค. เวลา 08:57 • ปรัชญา
เรื่องสมมุติ ..สมมุติว่า มีพระอรหันต์ ท่านมานั่งอยู่ตรงหน้าเรา ..เราจะทำอย่างไร จะคิดอย่างไร จะอ้อนวอน ขอเลขหวย ขอให้ร่ำรวย ขอให้บันดาลสิ่งนั่นสิ่งนี้ ..บ้างก็เรียกร้องอยากได้ฤทธิ์ ไปข่มแหงรังแก่ผู้อื่นให้มีกรรมมากขึ้น บ้างก็อยากมีชีวิตยืนนาน อยู่กับทุกข์ยาวนาน แต่ก็ไม่รู้จักทุกข์ แล้วท่านจะประทานให้มั้ย ..คนเรามันมีน่าจิต ที่เรียกร้อง ..พอทุกข์ ก็เรียกร้อง ..เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ก็เรียกร้อง ทุกข์จังช่วยด้วยๆ
การสวดมนต์นั่นก็เหมือนกัน บ้างก็สวดเรียกร้อง..ให้กรรมมันเพิ่มขึ้น บ้างก็สวดๆไป แต่จิตไปปอยู่กับอารมณ์นึกคิด รู้นะว่าคำสวดนั้น เป็นคำสูงๆ มีความหมายที่ดีๆ แต่เวลาสวดปากก็สวดไป คล่องแคล่ว ..แต่จิตไปอยู่กับอารมณ์ ชวนไปเที่ยวที่นั่นที่ที่นี่ ..กิริยาท่าทาง ..สะลืมสะลือ ..เหมือนมึนเมา.. ถามว่า สวดมนต์ สวดด้วยอารมณ์ หรือ สติของจิตที่ตั้งจิตตั้งใจสวด นอบน้อมไปหาธรรม ไปหาผู้ที่มีธรรม ไปแล้วไม่กลับ มาเกิดอีก ต้องมีทุกข์อีก
บทสวดมนต์ ธรรมจักรกัปปะ วัตตะนะสุตัง อาทิตตะปะร้ยายะสุตตัง อนัตตะลักขณะสัตตัง สามบทหลักนี้ เราสวด ทำความเข้าใจในเรื่องราวความหมาย ต่างๆ พิจารณาทบทวนแล่วทบทวนอีก แต่นั่นแหละ มันก็เป็นยังติดอยู่กับเรื่องจิตที่เราที่มีม่านหมอก เหมือนสีดำนั้นห่อหุ้มจิตอยู่ เราก็ไม่สามรถรู้จักจิตของตัวเอง ..ที่จมอยู่กับโคลนตมได้
คราวนี้ เรื่องหนึ่ง ของการสวดมนต๋ เราสวดมนต์ เพื่อที่จะปลดเปลื้องอารมณ์กรรมตัวกระทำออกไป เอากิริยากายวาจาใจที่ดีๆมาสวด เอาสติที่รับรู้ อะไรมันเกิดขึ้น มาสวดมนต์ . รู้จักเรือนกายที่เราอาศัย ที่เรียกว่า ธาตุนะโม ธาตุทั้งสองที่พ่อแม่ให้มา มาสวดมนต์ ถ้าธาตุทั้งสองเป็นสัตว์ มันก็มาสวดมนต์ไม่ได้
เวลาสวดมนต์ สติของเราก็ดูที่ลมปาก หูของเราก็ฟังเสียงของตัวเราเอง ที่สวดมนต์ เป็นคำสูงๆ ส่งไปให้วิญญาณหูฟัง หูก็ส่งไปให้จิต รับรู้ .มันจะเกิดเป็นคำที่ดี ที่มีคุณ .ไปชำระล้าง ..สิ่งที่เราทำไม่ดี ใช้กายไม่ดีวาจาที่ไม่สมควร ..ช่วยไปเอาสิ่งที่ไม่ดีนั่นออกไป แต่เราก็ยังไม่เห็น ไม่รับรู้ได้ เพราะจิตเรามันต่ำต้อย ห้อมล้อมด้วยผโคลนตม เราก็เพียรกระทำขึ้น ให้โคลนตมนั้นหลุดลอกออกไป วันหนึ่งเราก็จะค่อยๆ เห็นแสงสว่างๆ ส่องลงมาว่าจิตเราใสสะอาดสะอ้านขึ้น กายเบาจิตเบา เป็นกายของผู้ที่มีบุญเกิดขึ้น
เมื่อธาตุทั้งสองนี้มีพระคุณเปีนธาตุที่ดี เราจึงสามารถนำมากราบพระ มาสวดมนต์ได้ นั่นก็คือ ก่่อนที่จะสวดมนต์ ก็ควร นำจิตนำใจ คิดในสิ่งที่ดี ที่เป็นคุณ ..เอากิริยาของผู้ที่รู้จักคุณ เช่นกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ กิริยาดีๆมาสวดมนต๋ ทำด้วยเต็มกำลังของจิต นอบน้อม มุ่งมั่น ไปหาจิตของผู้ที่มีธรรม เพื่อให้จิตเรา พ้นจากทุกข์
นั่นก็ต้องมีความเข้าใจ ตั้งอกตั้งใจทำ ให้จิตรู้จักปลดปล่อยทุกข์ ปล่อยวางทุกข์ เนื่องด้วยจิตเรามันหลงใหลอารมณ์ ..เราก็ปลดเปลี้ยงมันก่อน ให้จิต้เรากายเราไม่มีอะไร ไม่่ลุกลี้ลุกลน รีบร้อนสวดให้มันจบๆไป
เราสวดมนต์ เราเอากิริยาดีๆ มาสวดมนต์ เมื่อเริ่มต้นดี มันก็ดี ไปตลอดจนจบการสวดมนต์ อารมณ์นึกคิดที่จะมารบกวน เค้าก็ถอยห่างออกไป ..เราก็จะได้รับอานิสงค์ ที่กายสงบ จิตสงบ จากเรื่องราวของอารมณ์กรรม แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี ที่จิตนอบน้อมไปหาพระ กายและใจ อยู่กับพระ ยุติอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ก็ยังดี ..พอลุกจากการสวด ..อารมณ์นึกคิด ก็เข้ามาแล้ว จะต้อวไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปคลุกโคลนตมอีกแล้ว
โฆษณา