23 พ.ค. เวลา 03:00 • ท่องเที่ยว
โกลกาตา

รีวิว กัลกาต้า 4วัน เต็ม ฉบับเที่ยวเองงง Kolkata city of joyเมืองแห่งความสุข อินเดีย ep2

สวัสดีดีครับพี่ๆ นักเดินทาง namaste!!!
วันนี้เราเดินทางมาถึงอีพีที่สอง ของทริปนี้ จะสนุก กว่าอีพีหนึ่งหรือเปล่าไปอ่านกันเลยยย
ก่อนอื่นเลย Namaste หรือแปลว่าสวัสดีภาษา ฮินดี้ Hindi
แทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาษาสากลของประเทศอินเดียเรียกว่าได้ ในประเทศอินเดียจะเป็นประเทศค่อนข้างใหญ่และประชากรค่อนข้างเยอะภาษาที่เค้าใช้นั้นมีหลากหลายมาก แบ่งแยกตาม เขตภูมิประเทศต่างๆหากเป็นทางเหนือหลักๆก็จะใช้ภาษาHindi แต่ถ้าเกิดเป็นทางใต้ก็จะใช้ Tamil หรือถ้าเกิดเป็นฝั่งใกล้ พม่าก็จะเป็น Bengali
ถ้าจะพูดให้เห็นภาพให้ง่ายง่ายก็คือHindi เป็นเหมือนภาษาจีนกลางที่ใช้สื่อสารได้ทั่วทั้งประเทศเพราะอย่างประเทศจีนภาษาจีนกลางคือภาษาหลักส่วนจีนแต้จิ๋วจีนกวางตุ้งนั้นเป็นภาษารองของแต่ละเมืองนั้นๆ เป็นต้น
กลับมาสุ่การเดินทางของเรากันต่อครับ เริ่มต้น วันที่สองของเรา ด้วยกาแฟกับอาหารเช้าที่สตาร์บัคส์ เมนูขึ้นชื่อของ seasonal ที่นี่จะเป็นออเรนจ์โซดาคอฟฟี่ ทานคู่กับ เบเกิลครีมชีสมาซาล่า อาจจะไม่ได้ถูกปากมากแต่ก็คุ้มค่าที่จะร้องครับส่วนตัวกาแฟ ผมว่ามันแปลกแปลก ยังไงไม่รุ้ อเมริกาโน่เย็นก็เป็นสิ่งเบสิคที่ดีที่สุดสำหรับผมอยุ่ดีครั
ที่แรกที่เราไปคือโบของศาสนาคริสต์ Saint Paul Cathedral ระหว่างทางเดินข้ามถนนไปโบสถ์ก็จะจะเห็นรูปปั้นของผุ้หญิงคนนึง นั่นคือ อินทิรา คานธี ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรอครับ?
ผู้หญิงที่ชื่ออินทิรา คานธี คนนี้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมของอินเดีย ที่พยายามผลักดันให้ผู้หญิงขึ้นมามีบทบาทเท่าเทียมกับผู้ชายซึ่งในสังคมของอินเดียนั้นผู้ชายจะต้องเป็น ผู้นำตลอด
ผู้คนนี้คือประธานาธิบดีที่ครองตำแหน่งถึงสามสมัย ชนะสงครามไม่ว่าจะเป็นจาก ชายแดนประเทศจีนหรือแม้กระทั่งปากีสถาน
นามสกุล คานธี ที่เห็นนั้นเค้าไม่ใช่ลูกของ มหาตมะ คานธี นะครับ แต่นามสกุล คานธีนี้ หมายถึงคำว่าเป็นคนของประชาชน
เค้าเลยใช้นามสกุลนี้ต่อท้ายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเค้าเป็นคนของประชาชน จริงๆ เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมากครับพี่พี่คนไหนสนใจผมจะแปะลิ้งค์พ็อดแคส ไว้เผื่อให้ฟังครับ
ต่อมาพอเดินตรงมาเรื่อยเรื่อยก็จะจะเห็นทางเข้า พอถึงโบสถ์รอบตัวโบสถ์เป็นสีขาวแต่เหมือนจะมีการต่อเติมซ่อมแซมอยู่
เสียค่าเข้า 10 รูปี เข้าไปในโบสถ์ค่อนข้างใหญ่แต่ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายรูปภายในผมสามารถถ่ายแบบซูมแบบไกลๆมาได้หนึ่งรูปเป็นจิตรกรรมกระจกส่วนภายนอกนั้นก็สวยตามแบบฉบับของโบสถ์แต่แดดนั้นร้อนมากร้อนจนละลายยืนตากแดดได้ไม่เกิน 3 นาทีแล้วต้องรีบเข้าร่มครับฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
หลังจากเดินชมโบสถ์เสร็จก็ไปกันต่อที่ ไปรษณีย์กลางแห่งเมืองกัลกาต้า
ที่นี่ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็น Instagram spot ที่สำคัญอีกหนึ่งที่ ตัว อาคาร เป็นสีขาว ทรงยุโรป
สวยงามโดยที่นาฬิกา แปะ อยู่ด้านบนตรงกลางของอาคารพร้อมกับมีพี่แท็กซี่สีเหลืองจอดอยู่ตรงกลางอันนี้ผมไม่แน่ใจว่าสำหรับรับผู้โดยสารหรือสำหรับให้เรามาถ่ายรูปกันแน
การถ่ายรูปค่อนข้างลำบากเนื่องจากการที่จะได้มุมอย่างที่ผมถ่ายนั้นจะต้องอยู่ตรงเกาะเกาะกลางถนนที่พี่คนไหนไปถ่ายก็ระวังด้วยนะครับ รถจะมีผ่านมาตลอดตามสัญญาณไฟแดง
เดินถัดมาไม่นานไม่เกิน 5 นาทีก็จะเป็นอาคาร writer building
เป็นตึก สีแดงสง่ารูปทรงแบบอังกฤษเนื่องจากสมัยก่อนตอนที่อาณานิคมอังกฤษเข้ามาได้พาขุนนางมาพำนักบริเวณนี้ก็เลยได้สร้าง ขึ้นมาเพื่อให้ขุนนางอังกฤษต่างๆได้ อาศัยอยู่ที่นี่
ฉากหลังที่ใช้ถ่ายรูปนั้นให้ฟิวเหมือนเดินอยู่ที่อังกฤษเลย
แต่ผิดกับที่อากาศนิดหน่อย
นิดหน่อยก็แย่แล้ว อากาศของวันนั้นปาไป 40 กว่าองศา แต่ก็อาจเป็นข้อดีของอากาศแบบนี้ ถ้าเอาหมูมาแดดเดียววันเดียวคงได้กินเลยหละ
ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมตึกที่นี่ต้องเรียนเป็นสีแดงแล้วทำไมแสงของที่นี่ถึงสวยขนาดนี้ไม่ว่าจะถ่ายอะไรจะจาเล็งไปที่ไหนก็จะได้รูปกลับมาอย่างแน่นอน
ตึกสีธรรมดาที่โดนแดดตอนเย็นก็จะมีความนวลความสวยไปอีกแบบส่วนตึกสีแดงที่โดนแดดสีก็จะคมชัดขึ้นมาอีกโดยที่ไม่ต้องใช้ไลท์รูมเลย
เสร็จจากตึกนี้การเดินทางต่อไปก็คือตลาดดอกไม้ ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
จากจุดนี้ไปห้องผมใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีด้วยอากาศร้อนแบบนี้ผมอยากแนะนำให้พี่พี่เรียก Uber ครับ แต่ถ้าไม่เราก็จะได้เดินตาม Google Maps เข้าซอยเล็กซอยน้อยจนไปถึงซอยริมแม่น้ำที่ผมรู้สึกว่าค่อนข้างเรียล เป็นเหมือนสลัม ห้องพักชั้นเดียวเป็นแถวแถวเรียงกันและมีผู้คนใช้ชีวิตเด็กวิ่งเล่นหรือแม้กระทั่ง มีกลิ่นห้องน้ำลอยออกมาจากตัวที่พักเลย
เรื่องความสดของดอกไม้ที่ตลาดนี้ผมยอมครับสีสดถ่ายรูปสวยผู้คนเยอะ แต่สิ่งที่ต้องตกใจก็คือหนังสือพิมที่ใช้หอบและห่อดอกไม้นั้นเกลื่อนเต็มพื้นเลย
ตลาดนี้ถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวควรจะมาเป็นอันดับต้นต้นเลยนะครับถ้ามาที่นี่
ได้เห็นวิถีชีวิต ของคนแบกดอกไม้หรือคนคัดแยกดอกไม้เพื่อเอามาขาย หรือยืนมองดูความวานวาย แล้วก็เพลินไปอีกแบบครับ
แต่ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากๆผมแนะนำให้พี่พกพัดลมติดตัวครับแฮะๆ ส่วนทริปนี้ผมได้ลงทุนซื้อพัดลมพกพาจากแอพส้ม Jisulife ซึ่งพัดลมรุ่นนี้ลมแรงมาก มากชนิดที่ว่าพอไปใช้กับอากาศร้อนในประเทศอินเดียให้เหมือนกับ ยืนอยู่หลังคอมเพรสเซอร์แอร์เลยครับ
ผมอาจจะพลาดไปหน่อย ถ้าหากใช้เปิดในที่ที่อากาศเย็นหรืออากาศธรรมดาลมที่มาจากพัดลมจะเป็นลมเย็นแต่ถ้าเกิดยืนกลางแดดแล้วเปิดพัดลมหรือที่ที่มีฮีเวฟ ให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่หลังคอมเพรสเซอร์แอร์ สำหรับพัดลมตัวนี้ซื้อ แบตเตอรี่ความจุ 3600 การเปิด ใช้งานหนึ่งวันเต็มเต็มน่าจะเอาอยู่ เลย สำหรับพี่พี่คนไหนสนใจผมจะแปะลิงค์ไว้ให้นะครับ ราคาสูงกว่าพัดลมพกพาทั่วไปแต่สามารถใช้ได้ยาวนานทั้งวันผมตอบโจทย์สุดสุด
หลังจากเดินชมถ่ายรูปที่ตลาดดอกไม้เสร็จแล้วก็เดินขึ้นบันไดมาเพื่อที่ไปถ่ายรูปกับสะพานเหล็ก สีเทาแห่งเมืองกัลกาต้าที่ถือเป็นสะพานสัญจรหลักที่ข้ามแม่น้ำคงคาจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยสิ่งที่จะเห็นได้ง่ายง่ายเลยก็คือผู้คนช่วงตอนเย็นเป็นช่วงเวลาที่ที่คนให้ความสนใจกับสภานี้ค่อนข้างเยอะมากเดินข้ามกันไปมากกว่าไขหรือแม้กระทั่งรถต่างๆรถเมล์รถยนต์ก็มีให้เห็นขับไปได้ตลอดทาง มองไปทางซ้ายจากสะพานจะเห็นเป็นแม่น้ำคงคาไหลผ่านเข้าไปทางใต้สะพาน
หากตั้งใจมองดีดีก็จะจะเห็นผู้คนที่อยู่ละแวกนั้นใช้น้ำในแม่น้ำทำกิจวัตรกันต่างๆไม่ว่าจะเป็นการซักผ้ากับเล่นน้ำเป็นต้น
หลังจากเสร็จจากที่นี่ก็นั่งกลับโรงแรมเพื่อที่จะไปอาบน้ำครับเพราะว่าทั้งตัวเปียกเรียกได้ว่าเปียกทั้งตัวจริงๆเปียกที่ผมว่าคือเปียกแบบเหมือนมีคนเอาน้ำมาราดที่หลังเลย
หลังจากกลับมาอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็จะไปย่านเดอะปาร์คเกอร์สตรีทเป็นถนนคนเดินที่มีของกินและมีร้านหนังสือตั้งขาย ข้างทาง
หนังสือที่เห็น น่าจะเป็นเป็นของปลอมของปลอมในที่นี้หมายถึงนำต้นฉบับมาก๊อปปี้ เพราะว่าผมได้ลองเอาหนังสือมาดูคุณภาพแล้วกระดาษจะมีความบางกว่าเบากว่าและการเย็บเล่มไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่แต่ราคาที่ได้มาก็ไม่ได้สูงเลยอย่างหนังสือเล่มหนึ่งราคาหน้าปกอยู่ที่ 500 รูปีผมตอบพ่อค้าจนเหลือ 250 รูปีเท่ากับว่าได้หนังสือกลับมาในราคาเล่มละ 100 บาท
มื้อนี้ผมกินเป็น Kati roll เป็น เหมือนเอาแป้งโรตีใส่ไส้ไก่ที่เอามาผัดกับหัวหอมแล้วก็เครื่องปรุงมาซาร่าแล้วนำมาม้วน ไส้ที่ทางร้านมีให้เลือกมีค่อนข้างมากมายไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้ไก่หรือแม้กระทั่งแพะก็มี ส่วนราคานั้นไม่แพงเลยหนึ่งแท่งตกประมาณ 200 รูปีได้ หากพี่คนไหนผ่านถนนเส้นนี้ก็แวะชิมได้เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ที่ทุกคนต้องมาลองทาน
แล้วตบท้ายด้วยของหวานที่หวานจนลืมตาไม่ขึ้น
หวานอินเดียขึ้นชื่อเรื่องความหวานมาอยู่แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าวัฒนธรรมที่เขาใช้ทานกับชาหรือต้องการพลังงานสูงสำหรับการทำงาน กับอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินมาเค้าบอกว่าถ้าเราทานขนมหวานตอนเช้าหลังจากนั้นทั้งวันก็จะมีแต่เรื่องหวานหวานเรื่องดีดีเกิดขึ้นน่ะ
ขนมหวานที่กินจะมีอย่างหนึ่งที่ดังมากในกอกาต้า เป็นเหมือนโยเกิร์ตหวานหวานออกแนวพุดดิ้งพุดดิ้งอยู่ในถ้วยดินเผาแบบในรูปเลยครับ ร้านที่ผมกินถือเป็นร้านขึ้นชื่อของเมืองนี้
ร้านชื่อว่า Balaram Mullick & Radharaman Mullick มีหลายสาขามาก ลองหา ร้านใกล้ๆ รร ดูนะครับส่วนผม ทานที่ เดอะปาร์กเกอ สตรีท เป็นร้านเล็กๆครับ
ถัดมาผมก็เกิดอยากลองนั่งรถไฟใต้ดินของที่นี่ดูซึ่งผมนั่งจากสถานี the Parker กับสถานี esplanade ซึ่งเป็นที่พักประมาณหนึ่งสถานีค่าตรวจทั้งสิ้นห้ารูปีตกประมาณไม่เกิน 2 บาทไทยให้ในสถานีค่อนข้างเรียวผมว่าของบ้านเราดีกว่าเยอะครับ ตรงชาญฉลาดไม่มีอะไรกั้นเลยครับต้องระวังด้วยตัวเองทั้งหมดบนรถไฟยังหน่อยครับพี่แอร์เย็นฉ่ำมากดับร้อนได้ดีเลยโชคดีหน่อยที่ตอนที่ที่ไปเป็นช่วงเวลาสองสามทุ่มแล้วคนไม่เยอะแต่เห็นว่าถ้าเกิดไปช่วงเวลาที่เป็นช่วงเวลาของเมืองนี้ไม่มีที่ยืนแน่ แน่
เป็นยังบ้างครับ กับ อีพีที่ 2นี้ ยังเหลือ อีก 2วันสุดท้ายก่อนกลับไทย
เขียนไปก็คิดถึง กัลกาต้า เหมือนกันนะเนี่ย
ด้วยรัก
อิสระหน้าฝน
โฆษณา