22 พ.ค. เวลา 04:26 • ปรัชญา

Ep. 11 แผนเกษียณ ฉันคือผู้เลือก

“ฉันอยากเกษียณแล้ว”
ฉันพร่ำตะโกนบอกตัวเองในใจ ขณะที่มือกำลังทำงานอยู่
ช่วงที่ฉันเรียนชั้นอนุบาล ฉันผ่านการย้ายโรงเรียน 3 ครั้ง เนื่องด้วยเหตุผลทางธุรกิจของป๊า อนุบาล 3 ถึงชั้นประถมศึกษา 6 ฉันเรียน รร เอกชน ป๊าและแม่ของฉันประกอบอาชีพรับจัดโต๊ะจีนเล็ก ๆ เป็นร้านเก่าแก่ทำมาตั้งแต่รุ่นอากง อาม่า
ช่วงฉันเรียนชั้น ป 4 ป๊า และแม่ของฉันตัดสินใจซื้อตึกพาณิชย์ 2.5 ชั้น 2 คูหา ยังอยู่ในเขตอำเภอเมือง แต่ไกลจากตลาดประมาน 2 กม. และซื้อรถยนต์กระบะแคปหรือกระบะตอนครึ่ง เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ ฐานะครอบครัวของฉันอยู่ในระดับกลาง ป๊า และแม่ของฉันประกอบอาชีพหลากหลาย ไม่มีวันไหนที่ป๊าและแม่ว่างจากงาน
อดีตอาชีพหลักของครอบครัวฉันคือ การรับจ้างจัดเลี้ยงโต๊ะจีน จบงานโต๊ะจีน ทำขนมโดนัทส่งขาย แบ่งเวลาสำหรับธุรกิจขายตรงสุพรีเดอร์ม suprederm ธุรกิจ MLM อีก 2-3 อย่าง ชั้นบนใช้ทำห้องประชุมลูกข่าย และป๊าของฉันก็ยังเป็นนักขายประกันชีวิตอีกด้วย ฉันเติบโตมาในบ้านที่เห็นงานเป็นเรื่องสำคัญเป็นอันดับ 1
‘วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ซึ่งเป็นวันที่ประเทศไทย ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และต้องขอความช่วยเหลือทางการเงิน จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) วิกฤตครั้งนั้นส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสร้างความเสียหายอย่างมากต่อประเทศไทย แน่นอนทุกคนในประเทศได้รับผลกระทบกันหมด ความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป
ประมานอายุ 13-15 ปี ป๊าของฉันเรียกฉันมาคุยที่โต๊ะทำงานที่นั่งประจำของป๊าฉันแบบจริงจัง ป๊าพูดกึ่งขอความร่วมมือให้ฉันช่วยป๊าทำงาน และบอกเป็นนัย ๆ ว่าครอบครัวเราจะทำงานหนักกว่าเดิม และฉันจะสบายน้อยลง
จากเดิมฉันกลับจากโรงเรียน ก็ต้องช่วยงานอยู่แล้ว เมื่อป๊ามีงานเพิ่ม วันหยุดฉันจึงต้องทำงานเหมือนเดิม แต่บ้านฉันไม่มีแม่บ้านแล้ว ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองแค่นั้น เอาจริง ๆ ฉันยังไม่รู้สึกว่าลำบากขึ้นสักเท่าไร ฉันมองว่าทุกอย่างมันเหมือนเดิมมาก ๆ แค่ไม่มีแม่บ้าน
ฉันเดินทางไป กทม เพื่อเรียนต่อมัธยมปลาย ด้วยเหตุหลายอย่างที่ฉันเจอ ฉันจึงมักจะไปนอนค้างบ้านเพื่อน บ้านเพื่อนสนิทของฉันประกอบอาชีพทำเครื่องประดับ จิวเวลรี่ ฉันก็ช่วยงานเพื่อนหลังเลิกเรียนทุกวัน และวันหยุด เราทำงานกัน 6 วัน ลูกจ้างในบ้าาเพื่อนฉันส่วนมากเป็นต่างด้าว ฉันก็งานในกลุ่มนั้น
แม่ของเพื่อนเรียกฉันคุย เพราะจะจ้างฉันทำงาน พร้อมทั้งเสนอเงินเดือนให้ฉัน ๆ ยินดีทำด้วย แต่ส่วนเรื่องเงิน ฉันไม่รับ เพราะน้ำใจที่ครอบครัวเพื่อนมีให้ฉันมันก็เพียงพอแล้ว จากนั้นฉันก็ทำงานที่บ้านเพื่อน และนอนกับเพื่อนเรื่อยมา
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ฉันเลือกเรียนภาคสมทบ ด้วยเหตุผลที่ฉันไม่อยากตื่นเช้า ฉันชอบใช้ชีวิตกลางคืนมากกว่า จนวันนึงกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นของฉันคุยกันเรื่องฝึกงานที่จะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ฉันจึงจำเป็นต้องหางานทำเสียแล้ว เพื่อจะได้ฝึกงาน โดยที่ฉันจะได้เงินเดือนไปด้วย ฉันไม่อยากทำงานฟรี ผ่านไปไม่นานฉันได้รับโอกาสทำงานในบริษัทเอกชน ประมาณ ปี 2547
ราวปี 2553 ฉันกลับมาทำงานกิจการรับจัดเลี้ยงโต๊ะจีนของที่บ้าน บ้านเจ้าภาพเลี้ยงพระช่วงเช้า อาหารจะลงช่วง 8.00 น. ฉันต้องตื่นตี 2 เพื่อรอรับลูกจ้าง และไปบ้านงานตี 3 ต้องทำงานจนกว่าการกินเลี้ยงเลิกซึ่งประมาน 15.00 น. จ่ายค่าจ้าง รอขนของลง รอสั่งลูกจ้าง ฯลฯ 16.00-17.30 น.
ระหว่างวันที่บ้านงานเจ้าภาพ ฉันจะต้องเจอกับอากาศร้อน แดด ฝน ลม ความชื้น แฉะ ดิน โคลน วนกลับมาร้อนใหม่คล้ายมี 3 ฤดูในวันเดียว ช่วงเท้าอยู่ในดิน หรือลุยน้ำทั้งตลอดเวลา รวมกับที่ฉันนอนไม่หลับ ใช้เวลาไม่นานฉันก็เป็นไมเกรน ทำงานไปด้วย วิ่งไปอาเจียรด้วย หายาดม ยากิน สภาพฉันไม่ดูเป็นเจ้าของกิจการ หรือนายจ้างสักเท่าไร แต่ดูเป็นภาระสังคม และเป็นผู้ประสบภัยเสียมากกว่า งานโต๊ะจีนทำฉันเยินมาก ลึก ๆ แล้าวฉัน และครอบครัวของฉันรู้ว่างานนี้ไม่เข้ากับฉันเสียเลย
จนเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ช่วงปี 2555 ฉันได้รู้ความใฝ่ฝันของตนเอง ได้รู้นิสัยตัวเอง ได้รู้ว่าชอบอะไร ฉันมีโอกาสได้ทำงานที่ฉันชอบ แต่งานที่ฉันชอบก็สร้างความปวดร้าวให้ฉันมากมายเหลือเกิน ฉันไม่อยากเปลี่ยนสายงาน ฉันยังอยากจะดึงดัน เอาความไม่ต่อสู่ ไม่มีปากเสียง ให้ทำอะไรทำ ฉันใช้ความอดทนเข้าสู้ ฉันใช้ทุกเวลานาทีไปกับการทำงาน ไปสักพัก แต่ฉันอยากลองเปลี่ยนที่ทำงานไปสายเอกชน ฉันลองแล้ว และก็เจ็บปวดเช่นเดิม ฉันติดลบคุณภาพชีวิตในการทำงาน (Quality of Working Life) ฉันเมาหมัด ฉันขยาด
ฉันตัดสินใจทำอาชีพอิสระ ฉันจะเป็นนายตัวเอง ฉันต้องเป็นผู้เลือก ฉันจะไม่ทำงานให้ใครอีกแล้ว ฉันไม่อยากสนใจแล้วว่าจะเข้ากับใครได้หรือไม่ ฉันจะอยู่ในที่ ๆ ฉันกำหนดเองได้ นั่นคือ “บ้านของฉัน และฉันต้องเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว”
ฉันเริ่มธุรกิจส่วนตัวของฉันที่บ้านเกิด สถานที่ตั้งที่บ้านของฉัน ต้องใช้ต้นทุนน้อยที่สุด แล้วฉันก็ค่อย ๆ สร้างเพิ่มทีละอย่าง 1-2 ปีแรก ฉันรู้สึกตัวว่าฉันไร้ค่า ไร้ความสามารถอยู่บ่อยครั้ง แต่ฉันไม่เอาใจลงไปคิดให้ฉันเครียดมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ฉันทำแบบไม่สนใจอะไร ทำไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยฉันได้ประโยชน์จากสิ่งที่ฉันทำ 100%
ธุรกิจที่ฉันสร้างขึ้นมาโดนคู่แข่งกระหน่ำกล่าวหาว่าร้ายฉัน อย่างฉ่ำเลยในช่วง 1 ปีแรก ผ่านปีแรกมาได้ก็ยังมีการกล่าวหาว่าร้ายด่าฉันเช่นเดิม แต่ความรู้สึกของฉันปัญหานี้มันเล็กลงเรื่อย ๆ พวกเขาใช้วิธีการสลับหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาว่าฉัน ช่วงแรก ๆ ก็เครียด แต่ช่วงหลัง ๆ ฉันเริ่มชินชา ฉันได้รับคำแนะนำดี ๆ จากลูกค้าของฉันหลายท่านว่า ให้ฉันทำการฟ้องร้องหมิ่นประมาท ฉันรับคำแนะนำแล้วนำมาคิดต่อ จนฉันมั่นใจว่า จะไม่เลือกวิธีการฟ้องร้องหรือจ้างทนาย
มาตรา 326* ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ฉันไม่เห็นประโยชน์ในการฟ้องร้องกัน ถ้าฉันฟ้องร้องแล้วฉันจะได้อะไรบ้าง นอกจากความสะใจ ฉันมีแต่เสียเงินค่าจ้างทนาย ค่าน้ำมันรถที่แพงมาก ค่าแรงในการขับรถไปกลับศาล ค่าเสียเวลาในการต้องมาเล่า คุย ขุด คุ้ยเพื่อหาหลักฐาน ฉันมีหลักฐานที่พวกเขาโพสด่าฉัน ๆ ปริ้นจัดใส่แฟ้ม รวมเป็นเล่มเรียบร้อยเป็นอย่างดี ฉันปล่อยให้พวกเขาด่าฉันไปเรื่อย ๆ ฉันก็จะชินกับคำด่ามากขึ้น เมื่อฉันเริ่มหน้าด้านมากขึ้น สักพักเดี๋ยวเขาก็ไปด่าคนอื่นต่อ พวกเขาคงจะไม่มาเสียเวลาด่าฉันทั้งชีวิตของเขากระมัง
ธุรกิจที่ฉันสร้างขึ้นดำเนินกิจการเข้าปีที่ 5 เป็นธุรกิจ e-Commerce จนป่านนี้ฉันก็ไม่มั่นใจกับการทำธุรกิจเช่นเคย ฉันกลัว ระแวด ระวังทุกวัน คิดทุกวัน วางแผนทุกวัน
พอเข้าปีที่ 5 นี้ ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันอยากอยู่เฉย ๆ ฉันแค่ต้องรักษาสิ่งที่มีมันดีอยู่แล้ว ฉันเพียงต้องการมีรายได้ในการเลี้ยงตัวเอง จุนเจือครอบครัว และสัตว์เลี้ยง ฉันไม่มีความกระเหี้ยนกระหือรือในการทำงานให้ประสบความสำเร็จหรือช่วงชิง หรือทำเพื่อให้คนอื่นยอมรับแล้ว
ประสบการณ์ของฉันที่ต้องเจอมันทำให้ฉันเข้าใจว่า “เมื่อไรก็ตามที่ฉันต้องการสิ่งใด แล้วฉันวิ่งหรือทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา มันจะยิ่งไกลไปจากฉันมากขึ้นกว่าเดิมทุกที แล้วฉันจะเป็นทุกข์” ฉันไม่ต้องการมีความทุกข์
ปีนี้ความต้องการในชีวิตของฉันเริ่มเปลี่ยนไป แต่องค์ประกอบในความต้องการในชีวิตของฉันเริ่มน้อยลงอย่างมาก คือ “ฉันเพียงต้องการแค่เป็นผู้เลือก ที่มีความสุข”
เช่น ขณะที่กิน ดื่มกัน ฝนเริ่มตกประปราย เริ่มได้ยินฟ้าร้องเบา ๆ ฉันเหลือบตาไปมองเวลาใกล้จ 21.00 น. ฉันเริ่มรู้สึกคิดถึงแมวของฉันว่าจะกลัวเสียงฟ้าร้องไหมนะ
ฉันเริ่มไม่สนุกกับวงสนทนาที่อยู่ตรงหน้า เพราะฉันอยากกลับบ้าน สิ้นสุดที่ฉันคิด ฉันบอกลาเพื่อนทุกคนกลางวงสนทนาที่กำลังคุยกันอยู่ และหยิบกระเป๋าแล้วลุกเดินออกมา
บอกเพื่อนเคลื่อนรถฯ ที่จอดรถขวางทางรถฯ ฉัน ๆ รอให้เครื่องดื่มหมดแล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านพร้อมกัน ใครจะด่าว่าฉันไม่เกรงใจเพื่อน ไม่ไว้หน้าเพื่อน
ถูกต้องแล้ว ฉันไม่ไว้หน้า และฉันเกรงใจเพื่อนน้อยลง
แผนเกษียณของคนอื่นจะเป็นอย่างไร ฉันไม่รู้ได้ แต่ฉันกำหนดแผนเกษียณของฉันในรูปมุมมอง ความคิด ทัศนคติ การใช้ชีวิต ความสุข จิตใจ ความผูกพันธ์ ตลอดจนความอิสระ มากกว่า
แผนเกษียณของฉัน อาจจะไม่ถูกใจหรือไม่เหมือนกับใคร ๆ หลายคน แต่ฉันชอบตัวฉันเองที่ฉันเป็นแบบนี้คือ มากที่สุด อายุ 40 ปี ++ ของฉัน ๆ ต้องเป็นผู้เลือกเท่านั้น ฉันจะไม่ยอมให้เหตุการณ์หรือใครมากำหนดชีวิตของฉันอีกแล้ว ฉันอยู่กับสิ่งที่ฉันต้องใช้ความอดทนในชีวิตนี้ไปมากเพียงพอแล้ว จนวันนี้ฉันไม่มีความอดทนให้ใครแล้ว ฉันจะกำหนดคุณภาพชีวิตที่ฉันกำหนดได้
นักจิตวิทยาชื่อ วีนโฮเฟ่น (1997) พูดถึงคำว่า “ความสุข” ว่าแต่ละคนว่าชื่นชอบชีวิตโดยรวมของตนเองมากแค่ไหน การที่เราบอกว่าเรามีความสุข จึงหมายถึงเรารู้สึกชอบหรือพึงพอใจกับชีวิตเรานั่นเอง
ใช่ วันนี้ "ฉันเป็นผู้เลือก" ฉันพอใจชีวิตของฉันเรียบร้อยแล้ว
be better
—----
20.10
by ทรงศรี
โฆษณา