22 พ.ค. เวลา 17:07 • ปรัชญา
เมื่อจะหนีกรรม เรารู้จักกรรมแล้วหรือยัง มันเป็นปัญหา แล้วก็ยังมีปัญหาต่อไปอีก เรารู้จักตัวเราเอง ที่เป็นนามธรรม ที่เค้าว่า จิตจุติลงมาเกิด สิ่งเล่านี้นั้น ก็เป็นปัญหาอยู่ ถามต่อไปอีกว่า ตัวเราแท้จริงนั้นเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงไม่รู้จักตัวตนของเราเลย บ้างก็ว่า จิตเรานั้นมันเป็นประภัสสร ..แล้วทำไมเราไม่รู้คำว่า จิต คือตัวเรา คราวนี้ เราก็มาฟังดู ที่เค้าว่า อารมณ์นำพาจิต อารมณ์สั่งจิต ให้สั่งกาย ไปมีกิริยาท่าทางต่างๆ ถามว่า เรารู้จักจิตของเรา จริงมั้ย หรือว่า ฟังไปอ่านแล้ว ..ก็ไม่รู้สึกอะไร
คราวนี้ ในสิ่งที่เราจะ หนีกรรม เรามาดู รอยของการเดิน ยืน นั่ง นอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้บอกว่า แท้จริงรอยของท่าน ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่นึกคิดอะไร ไม่อารมณ์ เดินนิ่ง เฉย ..นึกคิดเมื่อไหร่ ก็เป็นอารมณ์เป็นกรรม รอยของท่าน กายวาจาใจ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง ค่อยไปพิจารณาดูน่ะ
1
เอ้าละ คราวนี้ ในการฝึกหัด เดินตามรอยท่าน ..มันก็ต้องมีความนอบน้อม ท่านว่า จิตนั่น ต้องรู้จักพระคุณของธาตุทั้งสอง ..ระลึกถึงกายบิดามารดา ที่จิตเรามาอาศัยในเรือนกายของบิดามารดา รู้จักต่อไปอีก รู้จักพระคุณของธาตุทั้งสี่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย ขันธ์ทั้งห้า วิญญาณทั้งหกตลอดจนน้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม มาหนุนนำเรือนกาย ให่จิตของข้าพเจ้าได้อาศัย
ก่อนที่จะมาฝึกหัด ไม่ใช่ว่าพรวดพราก ปฏิบัติธรรมเลย มันต้องกระทำ เหมือน เราจะเอาจิตเรา ไปอยู่หน้าพระพักตร์ของท่าน นั่นก็คือ เราต้องมีการกระทำ กราบพระ มีการอธิษฐาน มีการบอกกล่าว ว่าจะถวายสัจจะ ประพฤติปฏิบัติธรรม กี่นาที ครึ่งชั่วโมง ชั่วโมง เราก็พูไปให้หูของเราได้ยินเสียตัวเราเอง แล้วเราก็ทำไปตามคำที่เราพูด ..อะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีมีความสำคัญ ความสำคัญอยู่ที่กายของเรา มาฝึกหัดเดินในรอยของพระ ไม่ต้องไปนึกคิดอะไรเลย นึกคิดอะไร นั่น คือ อารมณ์นั่นคือกรรม มดจะกัด ยุงกัด ก็เฉยๆ นั่นคือ อารมณ์ นั่นคือกรรม
เราก็ฝึกหัดของเราไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง เมื่อกายเรานิ่ง จิตเรานิ่งได้ ก็จะมีแสงรัตนะ ส่องลงมา ที่ไม่เห็นหรอก พอเราทำได้มากขึ้น เราก็จะได้เรียนรู้จัก เรื่องราวของอารมณ์ เรื่องราวต่างๆ ที่เค้าแสดงให้ดู ..เอง
คราวนี้ เมือ่เราประพฤติปฏิบัติธรรมได้ กายนิ่งได้ จิตนิ่งได้ เมื่อเราเจ็บป่วย หรือ พ่อแม่เราเจ็บป่วย เราก็เอาธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา มาเดินจงกรม ขอรับเวทนาของคุณบิดามารดา ที่เจ็บป่วย ..เดินจงกรม ติดต่อกัน สองชั่วโมง ..มีปัญหาอีก ท่าเดินจะทำอย่าง วางมืออย่างไร หมุนตัวต้องทำจิตอย่างไร
..ผู้ที่เคยฝึกมา เค้าก็ทำได้ง่าย เรื่องราวเหล่านี้ บุตรธิดา ที่กระทำ เค้าก็ได้ คำว่า กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ทางจิต เรื่องนี้ เมือ่กระทำ เราจะรู้จัก คำว่ทากรรมได้ชัดเจน แต่นั่นแหละ จิตที่ไม่ไดฝึกหัด เค้าก็ไม่สนใจ สู้ไปบนบานศาลกล่าวดีกว่า ที่สำคัญ เวลาปฏิบัติธรรม จิตต้องมีความนอบน้อม ..อย่าไปทำตนยิ่งใหญ่ ..ยิ่งในลักษณะดูหมิ่นดผูแคลน.
เรื่องของการหนีกรรม นั่น มันมีกรรม ที่เราเคยสะสมมากับธาตุทั้งสี่ ที่มาประกอบกับธาตุนะโม ตรงนี้ เราไม่สามารถเห็นได้ เหมือนที่เราดูลมหายใจเข้าออก เราก็ไม่สามารถเห็นลมเข้าออกไป นั่นก็คือ เค้าก็ปฏิบัติธรรมไป จนจืตนั่นเห็นสี สีต่างที่เกิดขึ้น เรียนรู้จัก เรื่องราวของสี ความหมายของสี
แต่นั่นแหละ จิตที่เราไม่เข้มแข็งอดทน ขันติไม่พอ เราก็เรียนรู้จักเรื่องสีไม่ได้ สีนั้นจะติดอยู่กับธาตุทั้งสี่ สิ่งที่เราใช้วิญญาณทั้งหก จะส่งเก็บลงมา บันทึกในธาตุทั้ง เหมือนเราทาสีทับไปทับมา เกิดมาทุกชาติ ก็มีการเก็บบันทึก
เราจะรู้จักสีได้จิตนั้นต้องมีแสงธรรม ที่ว่า จุดเทียนธรรมขึ้นมา อาศัยการสวดมนต์ การปฏิบัติธรรมไปเรื่อยนั่นแหละ จิตที่มีแสง เค้าก็ใช้แสงนั้น ดูในกายในธาตุทั้งสี่ มีอะไรบ้าง ก็ใช้แสงนั้น ละลายกรรมออกไป เป็นสีดำสีม่วง ลอยออกไป จากกายจากธาตุทั้งสี่ เรื่องราวที่จะทำมาถึงตรงนี้ได้ เป็นเรื่องของการสะสมบุญกุศลบารมี มาแต่อดีต สะสมนิสัยการปฏิบัติธรรมมาแต่อดีต จึงสามารถจะประพฤติปฏิบัติธรรมต่อได้ เรื่องพวกนี้ เรารู้จักมาคราวๆ ไม่ได้รู้จริง คนที่เค้ารู้จริง คือ ผู้ที่ท่านปฏิบัติธรรมเข้าถึงได้
เรื่องราวของรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรอยที่จะทำเพื่อหนีกรรม คัดเอ้าท์กรรมออกไป ต้องลงมือทำเอง แล้วเราจะค่อยรู้จัก ต้องมีความมั่นคง หนักแน่น ในการประพฤติปฏิบัติธรรม คือ เวลาปฏิบัติธรรม ก็ปฏิบัติธรรมจริง ปล่อยวางเรื่องราวต่างทั้งหมด ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อให้จิต ที่สะอาดสะอ้าน เข้าไปหาพระ ..
จิตต้องไม่มีเรื่องราวคาถาอาคม ไม่มีเรื่องราวไสยศาสตร์ ต้องทิ่งมันให้หมด ..เพราะสิ่งเหล่านั้น เป็นกรรมขัดขวางการประพฤติปฏิบัติธรรม ..มันเป็นตัวหลง ..แท้จริงมันก็คือกรรมอย่างหนึ่งที่ไปยึดถือเค้าเอง สิ่งที่ได้มีแต่กรรม
..เรื่องไสยศาสตร์ นั่นเอาเข้าง่าย เอาออกยาก เวลาเอาอออก ก็ทุกข์ทรมานมาก ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมในรอยทั้งสี่ ขององค์พระสัมมาสัมพทุธเจ้า ก็จะเจอะเจอสิ่งเรานี้ขัดขวาง เป็นอุปสรรค ทำให้ไม่สามารถ มาเดินในรอยทั้งสี่ได้ จะหงุดหงิด ปวดร้าววทุกข์ทรมาน ต้องใช้ความอดทน หมั่นเพียกระทำ เพื่อเอาสิ่งที่เป็นมลทินนี้ออกไป
เรื่องราวเหล่านี้ มันละเอียดอ่อน ในการฝึกหัด แม้ในการกราบพระ .เอาอะไรมากราบ เอาอารมณ์มากราบพรหรือ เค้าก็มีการกราบ เอาจิตมากราบ เอามือทั้งข้างบิดามารดามากราบพระ เอาธาตุทั้งสองมากราบ เพื่อให้การกราบนั่น เอาจิตมากราบ เข้าไปหาพระ
คราวนี้ เราก็ไม่รู้จักว่า ไม่รู้ว่า พระอรหันต์ ท่านกราบพระพุทธเจ้า ท่านกราบอย่างไร เค้ากราบกันอย่างไร ในการฝึกหัด ..ที่เค้าว่า หากเริ่มต้นดี มันก็ดีไปตลอดระหว่างที่เราปฏิบัติธรรม หรือ สวดมนต์ เอาจิตมาสวด ไม่ใช่เอาอารมณ์มาสวด ..เค้าจะเดินจะยืนนั่ง ให้จิตภาวนาพุทโธ สองคำไม่ได้เลย จะเดินจะนั่ง ร่างกายก็ไม่ตั้งตรง หงิกๆงอๆ แล้วก็มัก อวดเก่ง ว่าข้านี้ทำได้
เรื่องราวของธาตุทั้งสองพ่อแม่ คนที่ไม่เคารพพ่อแม่ หรือ ทำกรรมกับพ่อแม่ ก็เอากายพ่อแม่ มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เจอะเจออุปสรรค จากธาตุที่ตนอาศัยนั่นเป็นกรรม เหมือนคิดไม่ดีทำไม่ดี กับธาตนะโม มันเป็นสีดำอยู่ที่ธาตุทั้งสอง ..
เรื่องราวปฏิบัติธรรม หนีกรรม เค้าปฏิบัติธรรม จนจิตนั้นมีแสง ส่องดู ที่ธาตุทั้งสี่ เห็นธาตุทั้งสี่ เป็นเหมือนเม็ดทราย สีดำสีม่วง แต่ละเม็ด ก็คือ สิ่งที่สะสมมา ชาติหนึ่่งๆ มันมีมากมายก่ายกอง ก็อาศัยแสง จิตมีแสงส่องเม็ดทราย นั่น ให้กระจัดกระจาย ที่จะแสดงเป็นอารมณ์ตัวกระทำ ต่างๆ ให้ละลายออกไป แล้วมันมีมากมายก่ายกอ นับชาติเกิดไม่ได้ ก็ต้องชำระสะสางธาตทั้งสี่นี้ให้สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ ที่ใช้เวลาเกิดเป็นชาติๆ ที่ต้องอาศัย การสร้างบุญกุศลบารมี หนีกรรม
โฆษณา