23 พ.ค. 2024 เวลา 01:45 • ประวัติศาสตร์

ตำนานหมีสุดโหด ที่เคยบุกฆ่าคนในหมู่บ้านซันเคนเบ็ตสึ

หมีสีน้ำตาล เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดเป็นหมีที่มีขนาดใหญ่มาก จะมีขนสีน้ำตาลตลอดทั้งลำตัว เมื่อยืน 4 เท้ามีความสูงประมาณ 5 ฟุต แต่เมื่อยืนด้วย 2 เท้าจะสูงได้ประมาณ 9 ฟุต หรือเกือบ 3 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักได้มากถึง 1,000 ปอนด์ ส่วนตัวเมียมีน้ำหนักได้มากกว่า 450 ปอนด์
6
หมีสีน้ำตาลกินอาหารได้หลากหลายมาก ทั้งพืชและสัตว์ ด้วยการที่มันเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่จึงมีแรงมากจัดเป็นสัตว์ที่ดุร้าย โดยหมีสีน้ำตาลแห่งฮอกไกโด หรือที่เรียกว่า หมีกริซลี่ดำ ถึงเป็นหนึ่งในหมีสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่ดุร้ายมากที่สุดในโลก ซึ่งเรื่องนี้มีที่มาที่ไปจากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริง
3
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1915 ที่หมู่บ้านซันเคนเบ็ตสึบนเกาะฮอกไกโดฝั่งตะวันตก ได้มีครอบครัวอิเคดะย้ายมาตั้งรกรากที่หมู่บ้าน และทำไร่ข้าวโพดเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ทว่าพวกเขาต้องหวาดกลัวเมื่อพบเห็นเจ้าหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่ชาวบ้านตั้งชื่อมันว่า “เคซากะเกะ” เพิ่งตื่นจากการจำศีลได้เข้าเพ่นพ่านบริเวณหมู่บ้านอยู่หลายครั้ง
2
จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความกลัวว่ามันจะเข้ามาทำร้ายคนในครอบครัว อิเคดะจึงตัดสินใจใช้ปืนยิงหมีตัวนั้น หมียักษ์ได้รับบาดเจ็บและหลบหนีเข้าไปยังภูเขา อิเคดะและชาวบ้านได้แกะรอยเลือดติดตามไป แต่ก็หาไม่พบ จึงได้เลิกตามเพราะมีพายุหิมะกำลังเข้ามา จึงคิดว่าหมียักษ์มันคงกลัวไม่คิดเข้ามาวุ่นวายในหมู่บ้านอีก
1
แต่ทว่าเพียง 9 วันที่อิเคดะได้ยิงหมีไปนั้น เจ้าหมียักษ์มันก็ได้บุกเข้าโจมตีหมู่บ้าน โดยมันได้บุกเข้าบ้านของครอบครัวโอตะ อาเบะ มายุ ผู้เป็นได้มีการขัดขืนและต่อสู้กับหมีแต่ก็สู้ไม่ได้ มันได้ฆ่าอาเบะกับลูกน้อย และได้ลากศพอาเบะเข้าไปซ่อนไว้ในป่าเพื่อเก็บไว้กินต่อไป
4
ส่วนมิคิโอะลูกน้อยนั้นถูกกัดเข้าที่หัวและเสียชีวิตคาที่ โดยพยานและชาวบ้านในหมู่บ้านที่ได้เข้าไปดูจุดเกิดเหตุบอกว่าเป็นภาพที่ไม่มีใครอยากจดจำเพราะในบ้านนั้นถูกอาบไปด้วยสีแดงฉานของเลือดไม่ต่างจากโรงเชือดดีๆ นั่นเองเปรียบเสมือนฝันร้ายของทุกคน
3
ชาวบ้านเห็นดังนั้นจีงได้รวบรวมคน 30 คนและตัดสินใจออกตามหาศพของอาเบะและไล่ล่าหมีตัวนั้น เพราะเชื่อว่าเมื่อหมีมันได้ลิ้มรสชาติของเนื้อมนุษย์แล้ว มันจะกลับมาอีก และเพียงแค่ไม่ถึง 100 เมตรจากชายป่าของหมู่บ้าน ทีมสำรวจก็ได้พบกับหมีสีน้ำตาลตัวนั้น มีชาวบ้านมากกว่า 5 คนที่ยิงใส่หมีเคซากะเกะ แต่ก็ไม่สามารถฆ่ามันได้
3
ชาวบ้านติดตามรอยเลือดไปเรื่อยๆ ก็มาพบร่างส่วนหัวและขาของอาเบะถูกฝังอยู่ในกองหิมะใต้ต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าหมีเคซากะเกะมันตั้งใจมาล่ามนุษย์แล้วนำมาฝั่งไว้ใต้หิมะเพื่อเก็บไว้เป็นอาหารของมัน
1
ชาวบ้านเฝ้ารอเพราะคิดว่าเจ้าหมีดุร้ายจะกลับมายังรังของมัน แล้วก็เป็นจริงดังว่า เจ้าหมีได้เดินเข้ามา ชาวบ้านได้ระดมยิงใส่ เจ้าหมีเคซากะเกะได้หลบหนีทันก่อนที่มันจะถูกฆ่า
1
แต่แทนที่มันจะหนีเข้าป่า มันกลับหันมาโจมตีหมู่บ้านแทน โดยครั้งนี้มันบุกเข้าไปที่บ้านของครอบครัวมิโยเกะที่เป็นบ้านหลังใหญ่ ซึ่งกำลังมีคนในครอบครัวไซโต้อาศัยอยู่ด้วย
1
ยาโยะ มิโยเกะผู้ซึ่งเป็นแม่บ้านที่กำลังเตรียมทำอาหารมื้อค่ำพร้อมกับแบกลูกคนที่สี่ที่ชื่ออุเมะกุชิไว้ที่หลัง ก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนของอะไรบางอย่างจากนอกบ้าน ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงและก่อนที่เธอจะได้ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก เจ้าเคซากะเกะก็ได้พังประตูบ้านเข้ามาพร้อมกับทำลายข้าวของเสียหายรวมถึงน้ำซุปที่ถูกต้มอยู่ในหม้อบนกองไฟก็ได้หกลงมาทำให้ไฟในบ้านนั้นดับสนิทเหลือแต่เพียงความมืดเท่านั้น
1
ยาโยะพยายามวิ่งหนีออกจากบ้าน แต่ทว่าลูกคนที่สองของเธอ ยูจิโระ ก็ได้กอดขาเธอไว้ทำให้เธอได้สะดุดล้มคว่ำลงไปกับพื้น เหยื่อคนแรกที่โดนหมีทำร้ายของบ้านมิโยโกะคือ เด็กน้อยที่ชื่ออุเมะกุชิที่อยู่บนหลังของยาโยะ
1
โอโดะ คือยามเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ที่บ้านมิโยเกะ ในขณะที่เวรยามคนอื่นๆ ทั้งหมดวิ่งออกไปที่บ้านโอตะ ก็ตกอยู่ในอาการณ์ช็อคและสุดท้ายก็ได้พยายามวิ่งหนีออกจากบ้าน เจ้าเคซากะเกะได้ละจากยาโยะและลูกของเธอเพื่อไล่ล่าโอโดะแทนทันที
ยาโยะและลูกคนที่สี่ของเธอถึงแม้ว่าจะถูกทำร้ายแต่ก็กระเสือกกระสนหนีออกมาได้สำเร็จ แต่ภายหลังอุเมะกุชิลูกน้อยของเธอก็เสียชีวิตลงในท้ายที่สุดเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
2
โอโดะโดนหมีข่วนเหวอะหวะทั้งหลังแต่ก็รอดชีวิตมาได้ในที่สุด กระนั้นก็ดี เหยื่อที่ถูกฆ่าตายในบ้านของครอบครัวมิโยเกะก็คือลูกคนที่สามของครอบครัวมิโยเกะ และลูกคนที่สี่ของครอบครัวไซโต้ รวมถึงภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ของครอบครัวไซโต้เองที่มาร่วมหลบภัยอยู่ในบ้านของครอบครัวมิโยเกะในขณะนั้นก็ล้วนแล้วแต่ตกเป็นอาหารของเจ้าเคซากะเกะสุดโหดทั้งสิ้น
1
ในขณะเดียวกัน หัวหน้าครอบครัวทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งมิโยเกะ และไซโต้ ผู้ที่ซึ่งเดินทางเข้าเมืองโทมาโกไม เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจและเจ้าหน้าที่ โดยที่ยังไม่รู้ว่าได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับครอบครัวตนเองนั้น ก็ได้ไปพบกับยามาโมโตะ เฮคิชิ พรานล่าหมีชื่อดัง ซึ่งยามาโมโตะก็เชื่อมั่นมากว่าแหมีตัวนี้ คือ “เคซาคาเกะ” หมีที่ภายในเวลา 2 วันฆ่าคนไปแล้ว 6 ราย
2
ตลอดระยะเวลาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ชาวบ้าน และยามาโมโตะ พรานล่าหมีชื่อดังก็ได้มีการติดตามล่าเคซาคาเกะอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้าย ยามาโมโตะกับไกด์นำทางเพียงหนึ่งคน ก็ได้ล้มเจ้าเคซาคาเกะลงในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1915
4
ตัวมันมีน้ำหนักถึง 340 กิโลกรัมและลำตัวยาวถึง 2.7 เมตร ภายหลังเจ้าหมี เคซากะเกะถูกฆ่าก็ได้มีการผ่าท้องของมันออกดูและพบว่ามีชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ยังไม่ย่อยสลายอยู่ในนั้น ชาวบ้านบางคนที่รอดชีวิตจากหมีโจมตีทะยอยเสียชีวิตลงจากอาการบาดเจ็บ บางคนรอดจากการถูกทำร้ายแต่ก็ไปจมน้ำตายในแม่น้ำ ในไม่ช้าหมู่บ้านนี้ก็ถูกทิ้งร้างไม่มีใครกล้าอยู่อาศัย
1
ทุกวันนี้ที่หมู่บ้านจะมีศาลเจ้ากลางป่ารวมถึงสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือนในสมัยนั้นได้ถูกสร้างขึ้นเป็นเป็นอุทธาหรณ์ถึงความโหดร้ายและน่ากลัวของเจ้าหมีสีน้ำตาลที่ชื่อ “เคซากะเกะ” นับเป็นเหตุการณ์โจมตีจากสัตว์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
2
โฆษณา