24 พ.ค. เวลา 13:10 • หนังสือ

Ep. 22 กัลยานิมิตร

กัลยาณมิตร (อ่านว่า กัน-ละ-ยา-นะ-มิด) มาจากคำว่า กัลยาณ (อ่านว่า กัน-ละ-ยา-นะ) แปลว่า เพื่อนที่ดี เพื่อนที่ประเสริฐ หรือผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยความจริงใจ เพื่อนที่ดี เพื่อนที่งาม หรือเพื่อนที่รักใคร่คุ้นเคยที่ดี เพื่อนรักใคร่คุ้นเคยที่งาม เช่น กัลยาณมิตรย่อมช่วยเหลือเกื้อหนุนกันในยามยาก
“ขอบคุณมากนะ ที่ฟังเรื่องของฉันจนจบเสมอ” B เพื่อนสนิทฉันขอบคุณย้ำ ๆ 1.5 ปีมานี้ฉันได้ยินคำนี้จากปากเพื่อนฉันหลายครั้ง
“ขอบคุณอะไร?” ฉันถาม หลัง ๆ มานี้ทุกครั้งที่ B พูดขอบคุณ ฉันมักฟังผ่าน ๆ ไป จนมาวันนี้ฉันอยากรู้จริง ๆ เลยว่า B ขอบคุณอะไรฉันนักหนา
“ขอบคุณที่ 1.5 ปี นี้ฉันมีแต่ปัญหามาให้เธอช่วยคิดตลอดเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีความสุข ก็ยังไม่มาคุยเท่านี้” B พูดตอบฉัน ด้วยสีหน้าสลด ดูเกรงอกเกรงใจฉันเหลือเกิน
“ไม่ต้องขอบคุณ เพราะฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย ขอบคุณทำไม” ฉันบอก B ฉันงงเล็กน้อย ฉันไม่เคยทำอะไรให้ B ในขณะที่วันเกิดฉันทุกปี B จะซื้อเค้ก ให้คนส่งมาที่หน้าบ้านฉันเสมอ ซึ่งฉันเสียอีกที่ไม่เคยให้อะไร B เลย
“ต้องขอบคุณดิ” B ไม่จบ
“เรา 2 คนเป็นเพื่อนกัน ถ้าเพื่อนมาปรึกษา มาระบาย แล้วฉันด่าสวนกลับไป เพื่อนแบบนี้เลิกคบได้เลิกเสียนะ” ฉันบอก B
“ก็เกรงใจ” B โอดโอยเบา ๆ
ฉันกับ B เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนตั้งแต่ ป. 4 กับช่วงมัธยมต้น ฉันมักชวน B และเพื่อนคนอื่นหนีเที่ยว แล้วก็พากันกลับบ้านใกล้สว่าง พ่อ แม่ของ B ต้องไปตามหา B ที่หน้าบ้านฉัน ช่วงวัยรุ่นฉันทำพ่อแม่เพื่อนหลายคนวุ่นวายไปหมด รวมถึงป๊า และแม่ของฉันด้วย
ทุกครั้งหลังจากที่เพื่อนฉันกลับไปกันหมดแล้ว ก็จะถึงเวลาที่ฉันต้องชดใช้กรรม บางครั้งป๊าจดไว้บนกระดานเป็นข้อ ๆ พร้อมเหตุผลด้วยว่าทำไมต้องตีฉัน 13 ที ไม่ขาด ไม่เกิน ป๊าของฉันช่างเป็นคนละเอียด ชัดเจนดีเสียเหลือเกิน ส่วนฉันก้นแตก เช้ามาฉันก็ยังไม่ละอายต่อความผิด ขอป๊าไปดูหนัง หน้าไม่อายเสียจริง
ด้วยความที่ป๊า แม่ และพี่สาวของฉัน ทำชื่อเสียงเอาไว้อย่างดีงาม ส่วนฉันก็เกเรเกินป๊าจะทนไหว ป๊าจึงส่งฉันไปเรียน ม. ปลาย ต่อที่ กทม ฉันแทบไม่เคยติดต่อเพื่อน ๆ รวมถึง B ด้วย ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันไม่สนิทกับเพื่อนคนใดหรือ B ลดลงเลย แต่ดูเหมือนความคิดฉันกับเพื่อนหลายคน รวมถึง B ไม่ได้คิดแบบฉัน ความสนิทสนมของเพื่อนในความคิดคนอื่น คงต้องติดต่อกันตลอด หรือไปมาหาสู่กันเสมอ แต่ทำไมนะฉันกลับไม่คิดเช่นนั้น
B บอกว่า ฉันกับ B เริ่มมาสนิทกันจริงจังมากขึ้น ช่วงงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนประถม ประมาน ปี 2554-2555 ช่วง ม.ต้น ก็สนิท แต่ฉันไปเรียนต่อที่ กทม. ความสนิทนั้นก็หายไป ไม่สนิทใจ ความสัมพันธ์ของฉัน และ B ขาดตอนเป็นช่วง ๆ
หรอ? แต่ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น
“แรก ๆ คบกัน ฉันรู้สึกว่าเธอมีกำแพง ฉันเข้าไปไม่ถึงเธอ แต่ตอนนี้กำแพงนั้นไม่มีแล้ว” B พูดกับฉัน ระหว่างที่เรานั่งให้อาหารปลา ในสวนสาธารณะ และฉันกำลังกระหน่ำเหวี่ยงขนมปังให้ปลาอยู่
แต่กำแพงอะไรนะ? ฉันไม่เห็นเคยรู้สึกแบบนั้นเลย
หลังจากงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนประถมเราเริ่มคุยกันมากขึ้น B โทรฯ ชวนฉันบอกว่าคืนนี้ไปกินข้าวกัน แต่เอาเพื่อน 3-4 คน ติดมาด้วยนะ ฉันสะดวกไหม ฉันก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เพื่อนเยอะ ๆ ก็สนุกดี เราก็ไปกินข้าวกัน จากนั้นเราก็สนิทกันเรื่อยมา 4 คน มี ฉัน B D และ O
ฉัน D และ B เรา 3 คนรุ่นเดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกัน เรารู้จักหน้าคาดตากันเป็นอย่างดี เพียงแต่ฉันคุยกับ B แต่ฉันไม่เคยคุยกับ D เลยเท่านั้นเอง
ส่วน O เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ระแวกเดียวกันกับ B ช่วยเหลือกเกื้อกูลกันมาก่อน ส่วนฉัน และ D เราไม่เคยรู้จัก O มาก่อน เรารู้จักผ่านการแนะนำของ B
—--
จิม รอห์น (Jim Rohn) นักธุรกิจชื่อดังชาวอเมริกาเคยกล่าวไว้ว่า เราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด ทำให้พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ หรือวิธีคิดของเราถูกหล่อหลอมขึ้นจากการพูดคุยและการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่เราสนิทสนม และเมื่อเรากับเขาเกิดความคล้ายคลึงกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน พูดภาษาคล้าย ๆ กัน เพื่อนคนนั้นหรือคนกลุ่มนั้นก็ย่อมกลายเป็นความสบายใจของเราไปด้วย
ฉันออกจากงานประจำ ย้ายมาอยู่ที่บ้านแบบถาวร เริ่มสร้างธุรกิจไม่สะดวกที่จะไปด้วยกันบ่อยแบบเดิม ฉันจึงปลีกตัวออกมา และตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ในขณะที่ B และเพื่อนอีก 2 คน ก็ยังคบกันแน่นแฟ้นกันแปลก ๆ เช่น โพสด่าใครสักคนในโลกออนไลน์ เพื่อน ๆ ก็เชียร์ให้บุกไปทำร้ายคนที่ทำให้ B ไม่พอใจ หรือ บอกเพื่อนว่า ครอบครัวไม่ใช้ safe zone แต่มันคือเพื่อนต่างหาก…
สำหรับฉัน ถ้าครอบครัวไม่ใช่ Safe Zone หรือ Safe Space หรือ comfort zone คนที่พูดประโยคนี้ก็ไม่ใช่เช่นกัน
ระหว่างที่ฉันไม่ได้ไปไหนมาไหนกับ B D O ฉันรู้เป็นนัย ๆ ว่ามีการนินทาฉันลับหลังเกิดขึ้น แต่ฉันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เพราะวัน ๆ ฉันทำแต่งาน แต่ช่างเถอะฉันอาจคิดมากไปเองก็ได้
ฉันปฏิเสธการกินข้าวร่วมกันกับ B D O บ่อยครั้ง จนฉันเริ่มเกรงใจ B ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ชวนฉันเสมอ และครั้งนั้น B ก็ชวนกินข้าวอีก ฉันจึงไป
B เปลี่ยนไปมาก เราไม่เจอกันนานเท่าไรแล้วนะ ทำไมเปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะ เป็นคำถามอยู่ในหัวฉันตลอดที่คุยกับ B เช่น การพูดคำหยาบตลอดเวลา ด่าตลอดเวลา ใช้คำรุนแรงเกินปกติที่ใช้ เกิดจากอะไรนะ? เพราะอะไรนะ? ฉันเมื่อคุยอยู่กับเพื่อน ฉันพูดคำไม่สุภาพ ใช้คำไม่สุภาพ ใช้สรรพนามปกติที่เคยใช้เรียกกันตั้งแต่เด็ก ระยะเวลากว่า 20 ปี ++ ที่ฉันคบเพื่อนกลุ่มนี้ที่มักจะใช้คำไม่สุภาพกัน ก่อนหน้าฉันจะไม่ไปหา B พูดหยายคายแบบนี้แต่แรกหรือเปล่านะ? ฉันเริ่มอึดอัด ฉันถาม B ตามตรง
ฉันเข้าใจคำพูดเวลาเราสนิทกับใคร สรรพนามที่ใช้เรียกกันมักเป็นคำหยาบ แต่มันเป็นเรื่องของรสนิยม และกาละเทศะ ประเด็นที่รู้สึกคือ คำพูดหยาบไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือ พูดจาหยาบคาย
ฉันรู้ว่า B เริ่มมีเรื่องกินแหนงแครงใจกับฉัน B ไม่ใช่คนที่ฉันเคยรู้จักอีกแล้ว คนที่กำลังคุยกับฉันในตอนนี้เป็นใครกันนะ
—--
B ทักข้อความมาหาฉัน ชวนไปกินข้าววันเกิด O ตั้งแต่ช่วงสาย ๆ ของวัน
จนช่วงค่ำประมาณ 19.00 น. D และ B จะมารับที่หน้าบ้านฉัน ทันทีที่ฉันขึ้นรถฯ ฉันรู้ได้เลยว่า เพื่อนทั้ง 3 คน เพิ่งนินทาฉันจบไป จากสายตา B และ D ที่ขับรถอยู่ และบรรยากาศโดยรวม เดาได้ไม่ยากเลย
ผู้หญิงมีการใช้เวลาในการ พูดคุยในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสังคม มากถึง 67% ของการสนทนาในแต่ละวัน จาก วารสาร Social Psychological and Personality Science (2019) พบว่า สังคมวิทยาจึงมองประโยชน์ของการนินทาว่าสามารถขจัดความเหงา และสร้างความบันเทิงได้ดี ขณะที่มีงานศึกษาหลายชิ้น พบว่าการนินทาสามารถส่งเสริมความผูกพันใกล้ชิดได้มากขึ้น
สักพักใหญ่ ๆ B มีปัญหาชีวิตในหลาย ๆ ด้าน มีปากเสียง และมีเรื่องผลประโยชน์กับ O โดยมี D เป็นผู้ไกล่เกรี่ย แต่ไกล่เกรี่ย รอมชอมกันอย่างไรมิรู้ได้ ถึงทำให้แผลที่ B กับ O มีมันยิ่งพังกว่าเดิม แต่ D ก็เข้า O ทั้ง 2 คน ก็รวมพลังหักหลัง B อย่างโฉ่งฉ่าง รุ่นแรง และเจ็บปวดมาก จากเพื่อนที่สนิทกันดั่งครอบครัว กลายเป็น เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา B กับ ฉันเรา 2 คน จะ update ชีวิตกันอยู่เป็นระยะ หลังจากที่โดน D และ O หักหลังมา B จึงโทรฯ หาฉันเพื่อปรับทุกข์ ฉันไม่แปลกใจเลยที่ B โดน เพราะลาดเลาของ 2 คนนี้มาเป็นระยะ ๆ แต่ B ไม่เคยตั้งใจมองสัญญาณเตือนนั้นเลยสักนิด และในเวลานั้นฉันก็เตือน B ไม่ได้เช่นกัน
ช่วง 23.00 น. ++ ในคืนเดียวกัน ระหว่างที่ฉันยังคุยกับ B ฉันบอกว่า D โทรฯ มา ฉันจะขอคุยกับ D ก่อน B มีอาการเสียงสั่น ฉันกดวางสายรับสายจาก D บอกฉันเรื่องที่ B นินทาฉัน จากที่คุยกันเกือบ 3-4 ชั่วโมง ฉันเดาได้ว่า D น่าจะมีการคาดหวังเล็ก ๆ ให้ฉันเลิกคบ B เพราะตอนนี้ B เหลือแค่ฉันเป็นเพื่อนคนเดียวแล้ว
B โทรมาฉันไม่ได้รับ พอฉันตื่นฉันส่งข้อความไป B อ่านข้อความ และโทรฯ หาฉันทันที ผิดนิสัยเชื่องช้าของเพื่อนฉันมาก ปกติเพื่อนคนนี้ของฉันจะเป็นชักช้า ชิลล์ ๆ ไปไหนไปกัน ใจใหญ่ ใจอ่อน หูเบา ค่อนข้างอืดอาดพอสมควร แต่ครั้งนี้ B คงจะกลัวว่าฉันรู้แล้วว่า B นินทาฉันคงเชื่อแล้วไปเข้าข้างคนอื่น ใช่ฉันเชื่อว่า B นินทาฉันจริง และฉันก็เชื่อว่าคนที่เอาเรื่องนี้มาบอกฉัน ก็คงนินทาฉันเช่นกัน การสารภาพก่อนไม่ได้หมายความว่าคนที่นำมาบอกจะพ้นผิด
ฉันไม่ได้โกรธที่ถูกเพื่อนสนิทนินทา แต่ฉันแค่รู้สึก “ปลง” ว่า ต่อให้ฉันจะทำดีเพียงใด สนิทกับคน ๆ นี้เพียงใด ถ้าคน ๆ นี้ต้องการนินทา ฉันก็โดนอยู่ดี เพราะฉันห้ามปากเขาไม่ได้หรืออาจจะเป็นเองที่ฉันทำตัวให้เขานินทาด้วย ฉันก็คงจะผิดด้วย
ฉันไม่โกรธ B แต่บอกว่าอย่าทำอีกเลยมันไม่ดี ถึงจะทำอีกกี่ครั้ง ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรกับคำนินทาที่คนสร้างขึ้น เรื่องแบบนี้ฉันเจอตั้งแต่ฉันยังเด็ก อดีตฉันเคยร้องไห้ แล้วตั้งคำถามให้กับเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ฉันเคยเป็นทั้งคนนินทา และเคยเป็นทั้งคนถูกนินทา จนวันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า จะเป็นคนนินทา หรือผู้ถูกนินทา ไม่มีใครได้ผลดีจากการกระทำดังกล่าวเลยสักคน
“ถ้าฉันเป็นคนไม่ดี เจอหน้าฉันแล้วรู้สึกแย่มาก ต้องด่า ต้องว่า ต้องติ เลิกคบกับฉันไปเลย มันดูดีกว่าที่นินทา แต่ยังคบไปมาหาสู่กับฉัน” ฉันบอกเพื่อนสนิทฉันแบบนั้น ในขณะที่เพื่อนฉันกำลังเสียงสั่น และร้องไห้
ทุกวันนี้ฉัน และ B เรายังคบกันตามปกติ แต่ความสนิทของเรากันแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย สายตาที่ B มองฉันตอนนี้ แตกต่างไปจาก 1.5 ปีที่แล้ว ดูจริงใจ อบอุ่น เกรงใจ เข้าใจ และคาดว่าเรา 2 คน น่าจะคบกันได้อีกยาวนาน ฉันดีใจที่ฉันได้เพื่อนฉันคืนมา
ด้วยรัก
ทรงศรี
โฆษณา